แม้ว่าละคร “ขวัญฤทัย” จะจบลงไปแล้ว แต่ความนิยมของ ไมกี้-ปณิธาน บุตรแก้ว พระเอกดาวรุ่งลูกครึ่งไทย-เยอรมัน จากละครเรื่อง ดวงใจเทวพรหม ตอน ขวัญฤทัย ที่ประกบคู่กับ ญดา-นริลญา ยังคงได้รับความสนใจอย่างมาก จนถึงขั้นมีแฟนคลับตั้งชื่อให้ว่า “ปณิดา (ปณิธาน-ญดา)”

เมื่อเจอหนุ่ม ไมกี้ ก็ต้องถามถึงกระแสความดังที่มาแรงแบบข้ามคืน
“รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ครับ ทั้งตกใจ ดีใจ และรู้สึกขอบคุณ มันคือความรู้สึกแบบนี้เลย”
รู้สึกยังไงบ้างกับกระแสที่เข้ามา?
“จริงๆ แล้วในโซเชียลผมยังไม่รู้สึกว่ามันดังขนาดนั้น เพราะผมมาจากการเล่นดนตรีเปิดหมวก ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งตอนที่ออกไปข้างนอกแล้วมีคนเรียกผมว่า ฉัตรเกล้า”
มีการพูดคุยกันมั้ยเกี่ยวกับกระแสที่มาแรงขนาดนี้?
“มีการคุยกันในกลุ่มไลน์ครับ ทั้งนักแสดงและทีมงานทุกคนต่างตื่นเต้นกันมาก”
ที่บ้านพูดยังไงบ้าง?
“คุณแม่และคุณยายชอบมากๆ หลังจากดูจบก็อยากดูซ้ำอีก จากที่ไม่เคยดู Netflix ก็เริ่มดูย้อนหลัง ผมต้องสอนคุณยายให้ใช้มือถือ แต่พ่อที่เป็นชาวต่างชาติไม่เข้าใจภาษาไทย เวลาคุณแม่ดูก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมต้องคอยแปลให้พ่อฟัง ทำให้ต้องดูซ้ำๆ และพ่อไม่ยอมดูย้อนหลังที่มีซับไตเติล อยากดูสด พอดูสดไม่รู้เรื่อง วันไหนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตอนจบ พ่อก็โทรมาถามว่าที่แปลไปเมื่อกี้หมายความว่าอะไร ต้องอธิบายผ่านโทรศัพท์เลย”
เห็นชอบล้อเลียนคนนั้นคนนี้ แล้วป้าแจ๋วผู้กำกับล่ะ?
“มีบ้าง (พูดเสียงเบาๆ) เวลาซ้อมบท ป้าแจ๋วจะเล่นแทน เป็นที่มาว่าทำไมฉัตรเกล้าถึงกอดเกร็งๆ (หัวเราะ)”

เคยเจอป้าแจ๋ววีนจนร้องไห้ เกิดอะไรขึ้น?
“จริงๆ แล้วป้าแจ๋วดูดุๆ โหดๆ นะ แต่เวลานอกฉากเสร็จแล้วน่ารักมาก เขาอยากให้ทุกอย่างออกมาดี ทำให้เราเข้าใจเจตนาดีของเขา โดนดุตลอด แล้วผมก็เป็นคนขี้ร้องไห้ด้วย”
ทำไมถึงร้องไห้หนักขนาดนั้น?
“นี่เป็นละครเรื่องแรกของผม ผมไม่เคยมีประสบการณ์การถ่ายทำแบบนี้มาก่อน ถ้าให้เล่าผมเป็นเด็กอายุ 18 เพิ่งจบ ม.6 มาได้ไม่นาน ได้มารับบทฉัตรเกล้า ลูกคุณชายหมอ รู้สึกตกใจและกดดันมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงมืออาชีพ บางครั้งก็รู้สึกว่าทำไมทำไม่ได้ บางทีก็ท้อ แต่มีป้าแจ๋วและทีมงานคอยช่วยตบตีให้ไปในทางที่ถูกต้อง”
ประโยคไหนของป้าแจ๋วที่ยังคงติดอยู่ในหูจนถึงทุกวันนี้?
“ไอ้ไมกี้ (เสียงเข้มๆ ดังๆ) เสียงผ่านวอคมนี่มาเลย จริงๆ ไม่ต้องผ่านวอก็ได้ยินชัดเจน ทุกครั้งที่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ ผมเก็บไปฝันเลย ฝันถึงป้าแจ๋วตลอด ทั้งเสียงและภาพ”

ตอนจบมีเจมส์จิมาเซอร์ไพรส์ด้วยหรือเปล่า?
“จริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ในบท มันเป็นการสร้างสรรค์ของผู้จัดและผู้กำกับที่คิดว่ามันเหมาะสม เป็นเซอร์ไพรส์สำหรับนักแสดงด้วย ผมไม่คิดว่าจะมีฉากนี้ เพราะในบทไม่มีพูดถึงพ่อแม่เลย เพิ่มเข้ามาทีหลัง เราจะเจอกันในกอง แต่ไม่ได้ถ่ายฉากร่วมกัน”
คุ้มไหมกับน้ำตาที่เราเสียไปในวันนั้น แต่ได้ความสำเร็จในวันนี้?
“คุ้มครับ การได้เห็นผลงานของเราในวันนี้ ได้เห็นฉัตรเกล้าบนจอทีวี รู้สึกภูมิใจมาก ที่ทุ่มเทมาทั้งหมดไม่เสียดายเลย ผมมีเรื่องลับๆ จะบอกอย่างหนึ่ง ผมอยู่รอดในกองถ่ายได้เพราะผมนวดมือผู้กำกับ นอกจากเต้นสร้างเสียงหัวเราะแล้ว ผมยังต้องเต้นโชว์เพื่อสร้างบรรยากาศสนุกสนานด้วย พี่รู้ไหม ผมไม่เคยบอกใครมาก่อน ผมถึงขั้นไปเรียนนวดเพื่อเอาตัวรอดในกองถ่าย เพราะตอนนั้นป้าแจ๋วบอกว่าเธอไม่มีอะไรดีสักอย่าง ที่ยังให้เธออยู่เพราะเธอนวดเก่ง ผมถึงขั้นไปศึกษาวิธีการกดเส้น ไปหาหมอนวดให้สอนวิธีการกดเส้น บอกว่ากดยังไงให้ดี กดไหล่ กดมือ ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน”
ทำไมถึงต้องจริงจังกับการเรียนนวดขนาดนั้น ทำไมไม่ฝึกทักษะการแสดงให้มากขึ้น?
“อืม พี่ครับ ผมก็ฝึกทักษะการแสดงมาด้วยนะ แต่นี่เป็นสกิลการเอาตัวรอด”
ใช้เวลาถ่ายทำนานแค่ไหนถึงรู้สึกว่าต้องไปเพิ่มเติมอะไร?
“ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ตั้งแต่ไปเวิร์กช็อป ผมก็คิดตลอดว่าผมจะทำยังไงดี พอผมนวดให้ป้าแจ๋วผ่อนคลาย เขาก็จะด่าผมน้อยลง โมโหน้อยลง”

ป้าแจ๋วรู้ไหมว่าเราไปเรียนนวดเพื่อเขา?
“ไม่รู้ครับ เวลาผมต้องศึกษาการแสดงของคนอื่นๆ เวลาพี่ๆ คนอื่นเล่น ผมต้องไปดูวิธีการเล่น นั่งดูมอนิเตอร์ ป้าแจ๋วจะให้ผมดูมอนิเตอร์ แล้วเขาก็จะยื่นมือมาให้ผมนวด ผมมีเก้าอี้ประจำอยู่ข้างๆ ป้าแจ๋วเลยครับ นวดไปป้าแจ๋วก็จะส่งเสียงจุ๊ๆ แบบกดถูกจุดโดนเส้น (ทำท่าประกอบเลียนแบบป้าแจ๋ว)”
ทุกคนมองไมกี้เป็นลูกรักของป้าแจ๋วหรือเปล่า?
“รู้สึกดีมากๆ ครับ ที่ได้เป็นลูกรักของป้าแจ๋ว หลังจากนี้ผมจะตั้งใจพัฒนาด้านการแสดงให้ดีขึ้นครับ”
ถ้ามีผู้กำกับท่านอื่นชวนไปเล่นละคร จะให้บริการแบบป้าแจ๋วไหม?
“ได้ครับ ถ้าใครอยากให้ผมช่วยเหลืออะไรก็ยินดีครับ (หัวเราะ)”