บ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นสถานที่ที่ “ปู่ภู่” หรือพระศรีสุนทรโวหารเคยเดินทางล่องเรือมาเยี่ยมบิดาขณะบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตามเรื่องราวในกลอนนิราศเมืองแกลง
ในวันครบชาตกาลของปู่ทุก 27 มิถุนายน จะมีการจัดพิธีบวงสรวงซึ่งเคยเห็นการจัดงานแต่งงานแฟนซีครั้งหนึ่ง ปีนี้ไม่แน่ใจว่าจะมีกิมมิคอะไรใหม่ๆ มาให้เราได้สัมผัสกันอีก
ตรงนี้แหละที่ "คุณชาย 3" อยากขอนำเสนอร้านสตรีทฟู้ดที่ดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ ซึ่งน่าจะเป็นฟู้ดซอฟต์พาวเวอร์ของชุมชนและเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นใกล้อนุสาวรีย์เชคสเปียร์เมืองไทย
ร้านนี้มีชื่อว่า "ตำปลาย่างป้าดำ" ตั้งอยู่ข้างๆ วัดกลางกร่ำ ริมถนนเพ-บ้านกร่ำ-แกลง (สามย่าน) ห่างจากอนุสาวรีย์ประมาณ 800 เมตร และห่างจากแม่พิมพ์ 4 กิโลเมตร สามย่าน 11 กิโลเมตร ร้านนี้เป็นเรือนไม้เปิดโล่งที่ช่วยให้ลมพัดเย็นสบาย เราได้พบกับ "เอนก บุญธรรม" ชายวัย 60 ปี กำลังย่างไก่อยู่ และเห็น "ป้าสั้น" กำลังโขลกส้มตำ ใกล้ๆ กันก็มีลูกสาว "รถเมล์" พรพิมล วัย 31 ปี กำลังหั่นคอหมูย่างใส่จานพร้อมเสิร์ฟ...
ชิ้นเนื้อหมูแต่ละชิ้นดูแห้งไร้มันน่ากินจริงๆ!
เมื่อเข้าไปพูดคุยก็รู้ว่า ลุงกับป้าสั้นเป็นไม้สอง ต่อจากแม่ที่เคยเป็น “ป้าดำ” แม่ค้าที่เคยขายข้าวมันตำปลาย่างในละแวกบ้านกร่ำ ต่อมาทำการย้ายบ้านเป็นร้านให้ลูกชายและสะใภ้ได้ทำงาน โดยมีท่าทีจะโอนธุรกิจให้กับลูกชายและทายาทในอนาคต

เมนูเด่นของร้านป้าดำที่ไม่ควรพลาดคือ “ข้าวมันตำปลาย่าง” ซึ่งเคยได้ยินจากผู้เฒ่าว่าเป็นอาหารพื้นบ้านดั้งเดิมของบ้านกร่ำ ที่ปัจจุบันก็ยังมีให้ทานทั้งในบ้านและร้านอาหารในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ยังเคยได้ยินจากคนเมืองเพชรบอกว่าเมนูนี้ก็มีในเพชรบุรีมานานเช่นกัน จึงเกิดการถกเถียงกันว่าจริงๆ แล้วเมนูนี้มีต้นกำเนิดจากระยองหรือจันทบุรี? แต่ไม่ว่าจะเกิดจากที่ไหน ความสำคัญของมันคือการเป็นอาหารไทยพื้นบ้านที่อร่อยและเป็นที่นิยมในโปรแกรมอาหารท้องถิ่น
พาวเวอร์...ที่รัฐบาลทุ่มงบฯโปรโมตไว้ถึงห้าพันกว่าล้านบาทเป็นแน่...ฮิ
“ตำปลาย่างที่นี่” ลุงเอนกเริ่มเล่า “ปลาข้างเหลืองหรือปลาสีกุนข้างเหลืองที่ใช้ มาจากทะเลที่มีให้จับตลอดทั้งปี ลักษณะคล้ายปลาทู แต่ต่างกันตรงแถบข้างลำตัวที่มีสีเหลือง เวลาย่างเนื้อจะสุกขาวและหอม ไม่คล้ำดำเหมือนปลาชนิดอื่น”
ต้นตำรับจะใช้มะขามอ่อนดิบที่ยังไม่เปรี้ยวจนเกินไป เพื่อให้กรอบอร่อยและไม่มีเม็ด แต่ก็มีแค่เดือนตุลาคมเท่านั้น ที่เหลือก็ต้องใช้มะขามเปียกแทน ซึ่งจะมีรสเปรี้ยวโด่ง ตำรวมกับกะปิและปลาย่าง จะปรุงหวานเค็มเปรี้ยวและเผ็ดตามชอบ ส่วน “ข้าวมัน” ก็ต้องหุงให้พอดีไม่ให้มันเยอะเกินไป สูตรที่ได้รสชาติกลมกล่อมคือใช้หัวกะทิ 2 ส่วน หางกะทิ 1 ส่วน

คุณชายเริ่มลิ้มลองตำปลาย่างที่ใช้เส้นมะละกอแห้งที่ปรุงจนไม่ค่อยมีน้ำ รสชาติสัมผัสด้วยปุยเนื้อปลาข้างเหลือง ผสมกับกลิ่นกะปิ และความเปรี้ยวจากมะขามเปียกที่โด่งไปนิด แต่ก็อร่อย...ถ้าใช้มะขามดิบ อื้อหือ! คิดว่าคนยองจะพูดว่า “เอาได้” มากกว่านี้
ข้าวมันหอมกรุ่นจากกลิ่นกะทิจะช่วยเพิ่มความนุ่มละมุน รสชาติคล้ายกับอาหารของชนชั้นสูงในสมัยต้นรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว...พูดไปอย่างนั้นเอง! ราคาของชุดอาหารนี้แค่ 50 บาทเท่านั้นครับ
หลังจากนั้น ป้าสั้นก็ยก “ตำข้าวโพด” โขลกเสร็จใหม่ๆ มาให้ชิม ตอนแรก...คิดว่ารสชาติคงจะเหมือนส้มตำทั่วไป แต่พอชิมคำแรกกลับลืมตัวตบเข่าฉาดใหญ่ ร้านป้าดำมีความแตกต่างจากที่เคยลองมาก ด้วยข้าวโพดที่มีเนื้อเหนียว เคี้ยวแล้วหนึบหนับทุกคำ
“เราใช้ข้าวโพดข้าวเหนียว คุณภาพ” ป้าสั้นอธิบายต่อว่า “ราคากิโลกรัมละสองร้อยบาท และอาจจะสูงในช่วงขาดตลาด ส่วนข้าวโพดเหลืองนั้นกิโลกรัมละร้อยบาทหาซื้อได้ตลอดทั้งปี ปริมาณที่ได้ก็ต่างกัน เช่น ข้าวโพดเหลืองฝักเดียวได้ส้มตำสองจาน แต่ข้าวโพดข้าวเหนียวหนึ่งฝักได้ไม่ถึงจาน”
คุณชายชิมอย่างละเอียดราวกับไม่ให้ข้าวโพดข้าวเหนียวหกออกจากจานเลย แม้แต่เม็ดเดียว จานนี้ 50 บาท...และต่อมาก็ถึงคิวรถเมล์ยกจานอาหารแซ่บๆ อย่าง “ยำปูแสม” ออกมาให้ชิม

“เป็นปูจากป่าโกงกาง” รถเมล์บอกว่า “ดองด้วยเกลือและน้ำปลาประมาณสามชั่วโมง ใช้เครื่องยำคุณภาพดี มะม่วงมันเดือนเก้าไม่เปรี้ยวเกินไป หั่นตะไคร้ตามด้วยหอมแดงซอย โรยหน้าด้วยผักชี”
จานนี้เด็ดสะระตี่สมกับราคา 100 บาทพอดี...หลังจากนั้นก็ถึงคิวถัดไป เมนูชื่อฟังแล้วสะดุ้ง! รถเมล์ถึงได้เฉลยว่าเป็น “หมูตกครก” ที่ป้าดำคิดสูตรให้ลูกหลานทำกิน โดยใช้คอหมูย่างคุณภาพจากซุปเปอร์มาร์เกต... “ที่สำคัญ คอหมูชนิดนี้ย่างแล้วจะไม่มัน ทำให้เนื้อนุ่มสุดๆ จานนี้ราคาอยู่ที่ 100 บาท”
เมนูสุดท้ายที่ลุงเอนกแนะนำคือ “เหลากุ้งสด” ใช้เครื่องปรุงจากครก ส้มตำไม่ใส่เส้นมะละกอ...พิเศษสุดคือ ใช้กุ้งขาวไซส์ใหญ่ เหลารวมเครื่องปรุงแบบเกาเหลาไร้เส้น จะเอากุ้งแบบดิบๆ หรือครึ่งดิบครึ่งสุกก็ได้ตามใจ...ราคาจานละ 100 บาทเท่านั้นครับ
ร้านตำปลาย่างป้าดำคนยองพูดเช่ดว่า “เอาได้” มีเมนูหลายอย่างให้เลือกแซ่บ อาทิ ยำปูดำไข่ ตำปูไข่ ยำม่อนร้า ตำปูม้า ตำสับปะรดกุ้ง ไก่อบ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นและลูกหลานบ้านเดียวกัน ส่วนบางคนเป็นนักท่องเที่ยวที่มาชื่นชมทัศนียภาพแล้วแวะมาอุดหนุนกัน
ถ้าคุณอยากลองของอร่อย ก็แวะมาที่นี่ได้เลย ร้านเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ปิดไม่เกินบ่าย 3.30 น. ถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 08–7136–7967 คนท้องถิ่นที่นี่รับรองความอร่อย

“ไม่เก๊” เลยฮิ!
คุณชาย 3
คลิกอ่านคอลัมน์ “คุณชายตะลอนชิม” เพิ่มเติม