พระคาถาบทสวด 7 ตำนาน คือการรวบรวมบทสวดจากพระสูตรในพระไตรปิฎกที่เรียกว่า พระปริตร ซึ่งเชื่อกันว่าหากสวดจะได้รับอานิสงส์ ช่วยให้ปลอดภัยจากภยันตรายและอุบัติเหตุ บทสวด 7 ตำนาน มีอะไรบ้างและมาจากไหน สามารถติดตามรายละเอียดได้ในบทความนี้
บทสวด 7 ตำนาน คืออะไร
จากตำนานมีเรื่องเล่าว่าพระเถระชาวลังกาได้นำพระสูตรในพระไตรปิฎกมาคัดเลือกและรวมเป็นบทสวดใหม่ เรียกว่า การสวดพระปริตร โดยคำว่า ปริตร แปลว่า การป้องกันหรือการต้านทาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ จุลราชปริตร (บทสวด 7 ตำนาน) และมหาราชปริตร (บทสวด 12 ตำนาน)
ชื่อ “บทสวดตำนาน” มาจากคำภาษาบาลี “ตาณ” ซึ่งหมายถึง การต้านทาน จึงกลายมาเป็นบทสวด 7 ตำนานในภาษาไทย
อานิสงส์ของการสวดบทสวด 7 ตำนาน
เชื่อกันว่าการสวดบทสวดเจ็ดตำนาน เป็นบทสวดโบราณที่กล่าวถึงพระรัตนตรัยและการเจริญเมตตา จึงมีอานิสงส์ในการป้องกันภัยอันตรายจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโจร สัตว์อันตราย หรือโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งเชื่อว่าจะเสริมให้ผู้สวดมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง อายุยืนยาวและปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ

บทสวด 7 ตำนาน มีอะไรบ้าง
บทสวด 7 ตำนาน หรือที่เรียกว่าจุลราชปริตร ประกอบด้วย 7 บทหลักดังนี้
- มงคลปริตร : เสริมมงคลให้ชีวิตรุ่งเรือง
- รัตนปริตร : ป้องกันภัยอันตรายจากภายนอก
- กรณียเมตตปริตร : เสริมเสน่ห์และเป็นที่รักของผู้อื่น
- ขันธปริตร : ป้องกันภัยจากสัตว์ร้าย
- โมรปริตร : แคล้วคลาดจากผู้คิดร้าย
- ธชัคคปริตร : สร้างความกล้าหาญและพ้นจากอุปสรรคต่างๆ
- อาฏานาฏิยปริตร : ป้องกันภัยจากอมนุษย์และสิ่งชั่วร้าย
เปิดคาถาบทสวดเจ็ดตำนานทั้ง 7 บท
บทที่ 1 : มงคลปริตร หรือมงคลสูตร
อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง
พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต
สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง
มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะ ทารัสสะ สังคะโห
อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง
ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห
อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง
อาระตี วิระติ ปาปา มัชชะปานา จะ สังยะโม
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง
คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐิ จะ กะตัญญุตา
กาเลนนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
กาเลนนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง
ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง
นิพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
เอตาทิสานิ กัตะวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ ฯ

บทที่ 2 : รัตนปริตร หรือรัตนสูตร
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
สัพเพ วะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ
อะโถปิ สักกัจะ สุณันตุ ภาสิตัง
ตัสมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ
เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ
ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง
ตัสมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา ฯ
ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา
สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง
นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ
อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง
ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต
นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ
อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง
สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ
สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ
อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา
จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ
เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา
เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ
นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ
เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ
ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา
จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย
ตะถูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ
โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ
คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ
กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา
นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ
ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ
สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ
สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ
จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต
ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะตัง
กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา
อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ
อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค
คิมหานะมาเส ปะฐะมัสมิง คิมเห
ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ
นิพพานะคามิง ปะระมัง หิตายะ
อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร
อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ
อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง
วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง
เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา
นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง
พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง
ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง
สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

บทที่ 3 : กรณียเมตตปริตร หรือเมตตสูตร
ด้วยการกระทำที่ดีและจิตใจที่สงบ เราจะสร้างความสันติในสังคมโดยปราศจากความโกรธหรือการต่อสู้ใดๆ
จิตใจที่สงบและอ่อนโยนสามารถนำไปสู่การเสริมสร้างความสุขและความสงบให้แก่ทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิต และทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความรักและความสุข โดยปราศจากการเบียดเบียนกัน
ทุกชีวิตจะได้รับความสุขและความสงบที่ยั่งยืนจากการกระทำที่ดีที่เกิดขึ้นจากจิตใจที่เมตตา
การสร้างความสุขในโลกนี้ต้องเริ่มจากการทำให้จิตใจของเรามีเมตตาต่อทุกชีวิต เราควรยึดมั่นในความเมตตาและไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่ผู้อื่น แม้จะมีความท้าทายต่างๆ เราต้องรักษาความเมตตาเอาไว้ในใจ
เมื่อทำเช่นนี้ จะสามารถเจริญเติบโตและสร้างสรรค์สังคมที่มีความสุขและสงบสุขในที่สุด

บทที่ 4 : ขันธปริตร หรืออหิราชสูตร
ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความเมตตาและความรักแท้จริง เราต้องพยายามนำความสุขและความสงบมาสู่ทุกชีวิต โดยไม่ทำร้ายหรือเบียดเบียนใคร
จิตใจที่บริสุทธิ์ย่อมมีพลังในการนำพาความดีและความสุขให้แก่โลก เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่มีความสุขและปราศจากความทุกข์
พุทธะเป็นผู้ทรงความเมตตาที่ไม่มีขีดจำกัด ธรรมะและสงฆ์ก็เช่นกัน ต่างมีคุณค่าและความสำคัญไม่รู้จบ
ธรรมะนำไปสู่การหลุดพ้นและการปฏิบัติที่ดีสามารถป้องกันภัยจากสิ่งต่างๆ เช่น งู, แมงมุม, หรือพิษต่างๆ ที่อาจทำร้ายเราได้
การป้องกันที่ดีสามารถช่วยให้ชีวิตมีความสงบและสุขสบายอยู่เสมอ ภูตทั้งหลายจะได้รับความคุ้มครองด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคทุกๆ พระองค์ที่ทรงนำทางสู่ความหลุดพ้น

บทที่ 5 : โมรปริตร หรือคาถานกยูงทอง
โมรปริตรนี้นำไปสู่การปกป้องจากภัยอันตรายต่างๆ ด้วยความเมตตาและความสงบ โดยการยกย่องและสรรเสริญนกยูงทองที่มีความสวยงามและพลังที่ยิ่งใหญ่
ด้วยการสวดบทนี้ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคที่ทรงพระปัญญาและทรงนำพาความสุขให้แก่สรรพชีวิต
ขอให้การสวดมนต์นี้เป็นการปกป้องทั้งโลกทั้งหมดยิ่งขึ้นไปด้วยพระเมตตาของพระพุทธเจ้า
ขอให้การสวดนี้เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ดีจากการกระทำของภูตผีและเทพยดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า และอธิษฐานให้ทุกสิ่งได้รับการคุ้มครองจากการกระทำที่ไม่ดี
การสวดมนต์นี้จะนำความสงบสุขและความหลุดพ้นมาสู่สรรพชีวิตทั้งหลาย โดยขอให้ความดีครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในจักรวาล
บทที่ 6 : ธชัคคปริตร หรือปริตรยอดธง
ดังนี้ข้าพเจ้าจึงได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงพำนักอยู่ที่เมืองสาวัตถี ภายในสวนเชตะวัน ซึ่งเป็นสถานที่สงบเย็นของอนาถบิณฑิกะ
ภายหลังพระองค์ได้เรียกพระภิกษุทั้งหลายมาชุมนุมและแสดงคำสอนแก่พวกเขา
พระภิกษุผู้ทรงธรรมได้ตรัสว่า เทวดาผู้ทรงพลังได้รวมตัวกันและเริ่มการรบ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแนะนำถึงการปรับปรุงและป้องกันภยันตราย
การสวดบทนี้จะช่วยให้พ้นจากภัยอันตรายและนำพาความสงบสุขให้แก่ผู้ที่ได้ยิน
พระภิกษุทรงกล่าวถึงความสำคัญของการปกป้องในสงครามของเทวราชทั้งหลาย เพื่อให้ปราศจากอันตรายจากมารและศัตรู
ขอให้การสวดนี้ช่วยให้พ้นจากภัยอันตรายและนำมาซึ่งความสงบและพลังจากธรรมะ
พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้รู้ถึงการปกป้องจากอุปสรรคต่างๆ โดยการใช้พลังจากบทสวดและการปฏิบัติธรรม
บทสวดนี้มีพลังในการช่วยเหลือให้ชีวิตพ้นจากภัยและการรบกวนต่างๆ ทั้งจากภายนอกและภายใน
พระผู้มีพระภาคทรงกล่าวถึงการปฏิบัติโดยการสวดบทนี้ เพื่อให้พ้นจากสิ่งที่เป็นอันตรายทั้งหลาย การปกป้องด้วยการสวดมนต์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง
พระองค์ยังได้ชี้แจงถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงความไม่ดีและการนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ดังนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ยินว่า พระภิกษุทั้งหลายกล่าวถึงการปฏิบัติธรรมในสถานที่สงบเช่นป่า ริมต้นไม้ หรือในที่ว่างเปล่า หากเกิดภัยหรือความกลัว ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านมีสติและสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างสงบ
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมว่า พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมและความรู้ มีอำนาจในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ ด้วยพระปัญญาและความเมตตา พระองค์ทรงเป็นครูผู้ให้ธรรมะที่สามารถเข้าถึงได้แก่ทั้งเทพและมนุษย์
พระธรรมของพระผู้มีพระภาคมีความชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้ในทุกเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่หรือช่วงเวลา ธรรมะนี้เป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยปัญญาโดยตรง และช่วยให้เข้าใจความจริงที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน
พระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เป็นที่เคารพและนับถือจากสาธุชน มีการปฏิบัติในทิศทางที่ถูกต้อง จนกลายเป็นการปฏิบัติที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นแหล่งแห่งบุญและความสงบ
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงคำสอนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความดี ด้วยความบริสุทธิ์จากภายใน พร้อมการตัดสินใจที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำพาผู้ปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์และได้รับการสงบสุขในที่สุด
หากบุคคลใดได้ปฏิบัติธรรมในที่สงบ เช่น ป่า หรือที่ว่างเปล่า ก็จะสามารถหลุดพ้นจากความกลัวและอันตรายต่างๆ ด้วยการถือมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งจะเป็นเสมือนแหล่งของความสงบสุขและการปกป้องจากภัยอันตราย

บทที่ 7: อาฏานาฏิยปริตร หรือการสวดพระคาถาอาฏานาฏิยะ
ขอถวายความเคารพแด่ผู้ที่มีปัญญาและความรู้สูงสุด ทุกผู้ทุกนามที่ได้ช่วยเหลือให้ทุกข์ของสรรพสัตว์เบาบางลง พร้อมทั้งแสดงธรรมที่ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงความสุขและความสงบ ขอให้เทพและมนุษย์ทั้งหลายได้รับความเมตตาและความสงบสุขจากพระพุทธองค์
ข้าพเจ้าขออ้อนวอนพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งพิงในการดำเนินชีวิต ด้วยความจริงและสัจจะอันมั่นคง ขอให้สิ่งดีงามเกิดขึ้นในชีวิตข้าพเจ้าเสมอ
ในโลกนี้มีสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดความสุข ความพึงพอใจ แต่ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญหรือมีค่าเทียบเท่ากับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งสามสิ่งนี้จะนำพาไปสู่ความสุขที่แท้จริง
ขอให้ทุกคนที่ได้ปฏิบัติในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ได้รับความสุขและความเจริญจากการประพฤติธรรม ทุกข์ทั้งหมดจะลดลงด้วยการปฏิบัติในเส้นทางของพระพุทธองค์ พร้อมทั้งความเมตตาและความสงบสุขจากพระธรรม
ขอให้ความทุกข์ทั้งปวงหมดสิ้นไปและสุขภาพแข็งแรงยืนยาว ด้วยการปฏิบัติในพระพุทธองค์ ทุกๆ ความเจ็บป่วยขอให้หมดไป และชีวิตมีแต่ความสุขเจริญรุ่งเรือง
หากไม่มีเวลาสวดบทสวด 7 ตำนาน แนะนำให้สวดพระปริตร 4 บท ได้แก่ กรณียเมตตปริตร ขันธปริตร โมรปริตร และอาฏานาฏิยปริตร โดยเริ่มต้นด้วยการนมัสการ สมาทานศีล 5 แล้วสวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ก่อนที่จะทำการสวดพระปริตรทั้ง 4 บท