วันนี้ กฤษณ์ คอนเฟิร์ม จะมาชี้ตำหนิพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร พระจักรพรรดิแห่งพระเครื่องทั้งปวง ประธานใหญ่แห่งชุดเบญจภาคี ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
วันนี้เราจะเริ่มที่ สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป มีด้วยกันทั้งหมด 4 แม่พิมพ์ คือ A, B, C, D

A. พิมพ์เกศสั้นใต้พระเพลามีเส้นผ้าทิพย์ เส้นผ้าทิพย์ไหล่ซ้ายมีผ้าจีวรพาดลงมาถึงใต้อก หัวไหล่ขวาจะใหญ่เหมือนทรงเกราะ พระรูปแบบโดยรวมจะดูคล้ายกับป้อมที่มีลักษณะสันทัด

B. พิมพ์หน้าอกพระทรงอกวี มีเกศยาว พระทรงจะดูชลูดและผอม

C. พิมพ์พระแบบอกกระบอกทรงพระบูชายุคอู่ทอง เกศยาวปานกลาง

D. พิมพ์นี้มีลักษณะเกศยาวและทะลุซุ้มคล้ายกับพระบูชายุครัตนโกสินทร์
ในทุกพิมพ์พระ กัจฉะขวาจะอยู่ต่ำกว่าและตื้นกว่ากัจฉะซ้าย พระเพลานั่งขัดสมาธิราบ และหัวฐานทั้ง 3 ด้านขวาจะยกสูงกว่าด้านซ้าย ส่วนหัวฐานด้านบนสุดด้านขวาจะสูงกว่าหัวเข่าขวา เส้นยาแดงผ่าแปดหรือจะเสมอกัน เศียรพระด้านซ้ายจะมีลักษณะชัน ขนาดมาตรฐานคือกว้าง 2.3 ซม. สูง 3.3 ซม. หนา 0.5-0.6 มิลลิเมตร
เนื้อสากลนิยมมี 4 ชนิด ซึ่งล้วนมีส่วนผสมหลักคือดินสอพอง
1. เนื้อเกสร 2. เนื้อกระแจะจันทน์ 3. เนื้อกระยาสารท (ตุ้บตั้บ_นมข้น) 4. แก่ ปูน
พระที่มีอายุมากเนื้อจะพนึกแน่น
มวลสารหลัก 5 สี ประกอบด้วย เม็ดสีดำ เม็ดสีแดง (สีพริกสุก) หินสีเทา เม็ดสีเขียวและแดงมะขามพระซุ้มกอ ปูนก้อนสีขาวด้าน ๆ ซึ่งเป็นผงวิเศษที่ผิวพระจะมีลักษณะเหมือนทะลักออกจากกัน คราบเก่าต้องมีรักน้ำเกลี้ยง นักการพนัน นักปฏิรูป มักจะพบว่ามักจะร่อนหรือเกือบหมด แต่รักน้ำเกลี้ยงยังคงหลงเหลือมากับน้ำมันตังอิ้วเสมอ สภาพเก่ามักจะมีซุ้มม้วน ซอกแขนจะม้วนแล้ว และย่นแยกย้อยยุ่ยเยิ้ม ซุ้มจะโย้ไปในทุกองค์ หากพระองค์นั้นตั้งตรงและไม่แตก จะไม่ใช่ของวัดระฆังในช่วงปี 2400-2415 ด้านหลังมักจะมีรอยปูไต่หนอนด้น แต่บางครั้งอาจไม่มีหากเป็นกาบหมากกระดานสังขยาหรือเรียบ (โดยเฉพาะแบบเรียบจะพบได้บ่อยที่สุด) เม็ดทรายเงินทรายทองที่สะท้อนแสงไฟมักจะพบเป็นประปราย ถ้าพบมากควรระมัดระวัง.