
ยันต์ เป็นศาสตร์โบราณที่ผูกพันกับวัฒนธรรมไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีรากศัพท์มาจากคำว่า 'ยัญญ์' ในภาษาบาลี ซึ่งหมายถึงสิ่งที่มนุษย์ควรบูชาเพื่อนำมาซึ่งความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ส่วนในภาษาไทยได้ปรับเปลี่ยนเป็นคำว่า 'ยันต์' ซึ่งหมายถึงลายเส้นที่ขีดเขียนเพื่อประกอบกับคาถาศักดิ์สิทธิ์
เพื่อให้อักขระ (อักษรที่ลง) ชัดเจน ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนจึงได้คิดค้นวิธีการจัดเรียงเป็นตารางหรือรูปเคารพต่างๆ เช่น รูปปูชนียวัตถุ เสือ สิงห์ หนุมาน ฯลฯ จากนั้นจึงเขียนอักษรลงไปในตารางหรือรูปภาพเหล่านั้น ทำให้เกิดเป็นรูปยันต์ต่างๆ ที่เรานิยมบูชากันจนถึงปัจจุบัน
นะโมพุทธายะ มีลักษณะเป็นรูป “นะ” ในปฐมกัป
“ภัทรกัป” เป็นชื่อของกัปนี้ ซึ่งจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ทั้งหมด ๕ พระองค์ พระองค์หนึ่งได้ทรงนำหญ้าคามาทิ้งลง ทำให้เกิดแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้น ดังนั้น ก่อนจะศึกษาหรือใช้คัมภีร์ปถมัง หรือจะลงอักขระวิเศษใดๆ ควรกล่าวคำนอบน้อมระลึกถึงท้าวสหบดีพรหม ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง
ยันต์ทุกตัวไม่ได้มีเพียงตัวนะเท่านั้น แต่ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ ๕ ส่วน ได้แก่
๑ พินธุ (วงกลมนิคหิต)
๒ ทัณฑะ (ไม้เท้าที่แยกออกเป็นง่าม)
๓ เภทะ (การแยกออกเป็นส่วนๆ)
๔ อังกุ (ส่วนที่โค้งงอเป็นรูปขอ)
๕ สิระ (ส่วนที่เป็นหัว)
ตัวนะทุกตัวจะต้องสร้างขึ้นจากสูตรทั้ง ๕ นี้ แต่รูปร่างของนะแต่ละแบบจะแตกต่างกันไป ทำไมจึงเรียกกันว่า นะแบบนั้น นะแบบนี้ เช่น นะหน้าทอง นะมหานิยม นะมหาละลวย ฯลฯ ทำไมไม่เรียก โมหน้าทอง หรือ พุทหน้าทอง สาเหตุก็เพราะตัวนะต้นแบบคือ นะปถมกัปปี หรือ นะพินทุ เมื่อประกอบด้วยสูตรทั้ง ๕ แล้ว จะมีรูปร่างคล้ายกับตัวนะในอักษรขอม จึงเรียกกันว่า "นะ"
หากใครมีอักขระยันต์ที่ผ่านการบวงสรวงและปลุกเสกอย่างถูกต้องติดตัวอยู่ มักจะนำโชคลาภ เงินทอง และทรัพย์สมบัติมาให้ได้อย่างไม่คาดคิด เพราะพลังอำนาจของ “ยันต์นะ” มีพุทธคุณที่สูงมาก