การตั้งชื่อให้เหมาะสมกับโชคชะตาของตนเองตามหลักทักษาปกรณ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต และยังส่งผลต่อความสำเร็จในด้านต่างๆ ตามหลักโหราศาสตร์ โดยการตั้งชื่อตามหลักเกณฑ์ของโหราจารย์หลายท่านจะแบ่งออกเป็น 4 ระบบใหญ่ คือ ระบบทักษา ระบบราศีจักร ระบบเลขศาสตร์ และระบบอายตนะ 6 ซึ่งในวันนี้เราจะขอกล่าวถึงระบบทักษาเป็นหลัก

Buzz

Content

ระบบทักษาคืออะไร?

บริวาร

อายุ

เดชอำนาจ

ศรีสง่า

มูละฐาน

การตั้งใจและความพยายามในการทำงานหรือการดำเนินการในด้านต่างๆ

ชื่อของบุคคลที่มีตำแหน่งและหน้าที่ในการให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่ผู้อื่น

กาลกิณี คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการอับโชค และความทุกข์ ที่นำมาซึ่งปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิต เช่น ความไม่เจริญรุ่งเรือง หรือสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

การตั้งชื่อในหลักทักษา เป็นการเลือกชื่อที่มีความหมายตรงกับวันเกิดและลักษณะทักษะของผู้เกิด โดยให้พิจารณาจากลำดับดาวและทิศทางที่สัมพันธ์กันในหลักวิชานี้

การตั้งชื่อมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญหลายประการ ซึ่งจะต้องพิจารณาทั้งจากความหมายและโครงสร้างของชื่อ รวมถึงการเสริมดวงและโชคลาภให้กับเจ้าชะตา

การตั้งชื่อมงคลถือว่าเป็นการเสริมดวงชะตาของแต่ละบุคคลให้เจริญรุ่งเรือง มีความสำเร็จ และได้รับสิ่งดีๆ จากชีวิตโดยอาศัยโหราศาสตร์ในการช่วยวิเคราะห์ชื่อ โดยโหราจารย์ได้จัดแบ่งเกณฑ์การตั้งชื่อออกเป็น 4 ระบบหลัก ได้แก่ ระบบทักษา, ระบบราศีจักร, ระบบเลขศาสตร์, และระบบอายตนะ 6 ซึ่งในบทความนี้เราจะเน้นไปที่ระบบทักษาเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นระบบที่ได้รับความนิยมและใช้กันมากที่สุด

ระบบทักษาคืออะไร?

ทักษามีรากศัพท์มาจากคำว่า 'ทักษิณา' ที่หมายถึงการหมุนเวียนไปทางขวา โดยระบบทักษานี้โหราจารย์สมัยโบราณได้กำหนดภูมิทักษาโดยการวางตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู และพระศุกร์

การแบ่งภูมิทักษานั้นทำได้โดยการจัดแบ่งตามทิศทั้ง 8 ทิศ ได้แก่ อีสาน, บูรพา, อาคเนย์, ทักษิณ, หรดี, ประจิม, พายัพ และอุดร โดยการจัดเรียงตัวเลขจะเริ่มจากพระอาทิตย์ และหมุนเวียนขวาตามลำดับหมายเลข 2, 3, 4, 7, 5, 8, 6 ตามลำดับ

ในระบบทักษา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ภูมิทักษาหรือทักษาปกรณ์ ซึ่งใช้ในการตีความหมายของเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งดาวในทิศนั้นๆ โดยจะมีการตีความในหลายๆ ด้าน เช่น บริวาร อายุ เดช ศรี มูลละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี ซึ่งแต่ละหมวดมีความหมายเฉพาะตัวดังนี้