ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู ตั้งอยู่ด้านหน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ประวัติความเป็นมาเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2494 เมื่อพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ มีคำสั่งให้สร้างโรงแรมเอราวัณ เพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากต่างประเทศ
ในช่วงแรกของการก่อสร้าง เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งจนน่าประหลาดใจ เมื่อใกล้เสร็จสิ้นโครงการในปลายปี พ.ศ. 2499 บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรม ได้เชิญพลเรือตรีหลวงสุวิชาน นายแพทย์ใหญ่กองทัพเรือและผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ มาเพื่อกำหนดฤกษ์ยามในการเปิดตัวโรงแรม
พลเรือตรีหลวงสุวิชานได้ให้คำแนะนำว่า การก่อสร้างโรงแรมขาดการทำพิธีขออนุญาตจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ฤกษ์วางศิลาฤกษ์ยังไม่ถูกต้อง และชื่อ"เอราวัณ" ซึ่งเป็นชื่อช้างทรงของพระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องมีการบวงสรวงอย่างเหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ต้องขอพรจากพระพรหมและสร้างศาลพระพรหมหลังการก่อสร้างโรงแรมเสร็จสิ้น พร้อมทั้งสร้างศาลพระภูมิภายในโรงแรม

ศาลพระพรหมถูกสร้างขึ้นตามคำแนะนำ โดยออกแบบโดยนายระวี ชมเสรี และ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล องค์ท้าวมหาพรหมสร้างจากปูนพลาสเตอร์ปิดทอง ออกแบบและปั้นโดยนายจิตร พิมพ์โกวิท จากกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร พระพรหมถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 แม้แผนเดิมจะใช้องค์พระพรหมโลหะหล่อสีทอง แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา จึงเปลี่ยนมาใช้ปูนปั้นปิดทองแทน
ปัจจุบันศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ อยู่ภายใต้การดูแลของ"มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม" การแก้บนที่พบเห็นบ่อย ได้แก่ การถวายพวงมาลัย 7 สี 7 ศอก ช้างไม้แกะสลัก และการแสดงนางรำแก้บนหรือละครชาตรี พระพรหมถือเป็นหนึ่งในสามเทพสูงสุดของศาสนาฮินดู ได้แก่ พระพรหมผู้สร้าง พระศิวะผู้ทำลาย และพระนารายณ์ผู้ปกป้อง รูปลักษณ์ของพระพรหมตามความเชื่อนั้นมี 4 เศียร 4 หน้า และ 4 กร ถือสิ่งของต่าง ๆ เช่น ช้อน ลูกประคำ เป็นต้น องค์ท้าวมหาพรหมเคยถูกทำลายโดยชายผู้ไม่สมประกอบเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 ทำให้มีการบูรณะและสร้างองค์ใหม่เสร็จสิ้นในปลายเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน

ชาวไทยที่รับคติความเชื่อจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเชื่อว่าพระพรหมคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งเรียกว่า "พรหมลิขิต" ผู้ที่บูชาพระพรหมอย่างสม่ำเสมอจะได้รับพรให้สมหวัง เรียกว่า "พรพรหม" หรือ "พรหมพร" นอกจากนี้พระพรหมยังเป็นเทพประจำทิศเบื้องบนอีกด้วย
ความหมายของคำว่า"พรหม" หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ความกว้างใหญ่ไพศาล และความเบิกบานใจ ดังนั้นผู้ที่บูชาพระพรหมและประพฤติดีจะได้รับการบันดาลพรให้สมปรารถนาในสิ่งที่ต้องการ
วิธีการกราบไหว้พระพรหม
หากสถานที่กราบไหว้เป็นเทวาลัยขนาดใหญ่ ควรไหว้พระพรหมให้ครบทั้ง 4 พระพักตร์ โดยเริ่มจากพระพักตร์กลาง แล้วเดินวนตามเข็มนาฬิกาจนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
เครื่องบูชาและเครื่องสังเวย
ดอกไม้ เช่น ดอกมะลิ ดาวเรือง ดอกบัว และดอกโมก ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
กำยานและธูป สามารถใช้ได้ทุกกลิ่น
อาหารที่ถวาย ควรเป็นขนมหวานรสอ่อน ไม่ปรุงรสจัด ไม่เค็มเกินไป และไม่ผสมสี เน้นความเป็นธรรมชาติ
ผลไม้ เช่น มะพร้าว สาลี่ ชมพู่ และกล้วย
ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ข้าวสาร ข้าวหุง ถั่วชนิดต่างๆ งาขาว งาดำ ลูกเดือย เผือก มัน สมุนไพร เมล็ดพริกไทย และผักชี
ใบกระเพราและพืชผักสด สามารถถวายได้ทั้งแบบสดและสุก แต่ห้ามถวายเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด

บทสวดมนต์บูชาพระพรหม
ก่อนสวดบูชาพระพรหม ต้องสวดบูชาพระพิฆเนศก่อนทุกครั้ง ตามกฎการไหว้เทพในศาสนาพราหมณ์ทุกนิกาย
บทสวดบูชาพระพรหม
(สามารถเลือกสวดบทใดบทหนึ่ง)
- โอม พรหมมายะ นะมะห์ (สี่ครั้ง)
- โอม ปะระเมศะ นะมัสสะการัม โองการะ นิสสะวะรัม
พรหมเรสะยัม ภูปัสสะวา วิษณู ไวยะทานะโมโทติลูกะปัม
ทะระมา ยิกยานัม ยะไวยะลา คะมุลัม
สะทานันตะระ วิมุสะตินัม
นะมัสเต นะมัสเต จะอะการัง ตะโถวาจะ
เอตามาตาระยัต ตะมันตะรามา
กัตถะนารัมลา จะสะระวะปะติตัม
สัมโภพะกะละ ทิวะทิยัม มะตัมยะ (หนึ่งครั้ง)
โอม จะตุระมุขายะ วิทมะเห
หัมษา รุทายะ ธีมะหิ
ตันโน พรหมมา ประโจทะยาต (หนึ่งครั้ง)
- โองการพินธุนาถัง อุปปันนัง
พรหมมาสะหะปะตินามะ
อาทิกัปเป สุอาคะโต ปัญจะปะทุมมังทิสะวา
นะโมพุทธายะ วันทะนังฯ
- โอม พรหมมะเณ ยะนะมะ
โองการพินทุ นาถังอุปปันนาถัง
สุอาคะโต ปัญจะปะทุมมัง
พรหมมาสะหัมปะตินามัง ทิสสะวา นะโมพุทธายะ วันทานัง
- โอม พระพรหมมา ปฏิพาหายะ
ทุติยัมปิ พระพรหมมา ปฏิพาหายะ
ตะติยัมปิ พระพรหมมา ปฏิพาหายะ
- พรหมมาจิตตัง ปิยังมะมะ
นะชาลีติ นะมะพะทะ
นะมะอะอุ เมกะอะอุ
- ปิโย เทวะ มะนุสสานัง ปิโย พรหมมา นะมุตตะมัง
ปิโย นาคะ สุปันณานัง ปินินทะริยัง นะมามิหัง