“ครุฑ” หรือ “พญาครุฑ” สัตว์กึ่งนกกึ่งมนุษย์ที่มีรูปร่างใหญ่โตน่าเกรงขาม เป็นที่รู้จักดีในหมู่คนไทยผ่านตราสัญลักษณ์ “ตราพระครุฑพ่าห์” ที่ปรากฏบน “ธงมหาราช” ในสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ รวมถึงเอกสารราชการและพระราชสาส์น ซึ่งมีการใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงยุครัตนโกสินทร์

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่คุ้นตา คือ “ครุฑตราตั้ง” ที่ตั้งตระหง่านบนอาคารต่างๆ โดยมีข้อความด้านล่างว่า "โดยได้รับพระบรมราชานุญาต" ซึ่งพระราชทานให้เฉพาะผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการด้วยความสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งในหน่วยงานราชการและบริษัทเอกชน ถือเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศจากสถาบันพระมหากษัตริย์
ครุฑ ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งบารมีของพระมหากษัตริย์และชาติเท่านั้น แต่ในปัจจุบันยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของหลายกลุ่มคนในฐานะเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมบูชาเพื่อความเป็นมงคล ด้วยความเชื่อในพุทธคุณและตำนานความศรัทธาที่มีต่อครุฑที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
ความเชื่อเกี่ยวกับครุฑ

ในคัมภีร์ฤคเวทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีการกล่าวถึงนกชนิดหนึ่งชื่อ “ครุตมัน” ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของชื่อ “ครุฑ” ในเวลาต่อมา โดยครุฑถูกมองว่าเป็นพาหนะของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ตามคติความเชื่อในยุคโบราณที่ถือว่ากษัตริย์คือการอวตารของพระนารายณ์เพื่อปกครองบ้านเมืองให้สงบสุข
ความเชื่อเกี่ยวกับครุฑของไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยมีหลักฐานทางโบราณคดีที่ชี้ให้เห็นว่าสัญลักษณ์ครุฑปรากฏในดินแดนสุวรรณภูมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ในรูปแบบของเทวรูปช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (พบที่ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร) และยังปรากฏในงานสถาปัตยกรรมบนเทวสถานต่างๆ ในประเทศไทย ทั้งศิลปะเขมร ศิลปะลพบุรี และศิลปะสุโขทัย
ในช่วงปลายสมัยสุโขทัยจนถึงสมัยอยุธยา ไทยได้รับคติความเชื่อเรื่องเทวราชาที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียผ่านทางขอม โดยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์คือสมมติเทพในร่างพระนารายณ์ที่อวตารลงมาเพื่อปกป้องและสร้างความสุขให้แก่ประชาชน โดยมีครุฑเป็นพาหนะประจำพระองค์ ศิลปะและงานช่างจึงเริ่มนำครุฑมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
แม้หลักฐานทางประวัติศาสตร์บางส่วนจะสูญหายไปในเหตุการณ์กรุงแตก แต่ครุฑยังคงปรากฏชัดเจนในสถาบันหลักทั้งสาม ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประชาชนยังคงใกล้ชิดกับตราครุฑที่ปรากฏครั้งแรกบนเงินพดด้วงตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

พญานกผู้ทรงพลัง
ในคติพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่ามีพญาครุฑเพียงหนึ่งเดียว แต่ตำนานที่เล่าขานกลับมีหลาย版本 ในคัมภีร์ปุราณะบางเล่มระบุว่าพญาครุฑคืออวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ บางตำรากล่าวว่าพระนารายณ์เป็นผู้สร้างพญาครุฑขึ้นมาเอง และบางตำราก็เล่าว่าพญาครุฑถือกำเนิดจากไข่ แม้พญาครุฑจะมีเพียงหนึ่งเดียว แต่บริวารครุฑในแดนหิมพานต์กลับมีจำนวนมาก บ้างก็ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ตามป่างิ้วริมสระฉิมพลีที่เชิงเขาพระสุเมรุ
ส่วนครุฑในตำนานพุทธศาสนา ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวเหมือนในคติพราหมณ์-ฮินดู ครุฑในพุทธศาสนาถือเป็นเทวดาชั้นล่างภายใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก ผู้ครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศใต้ การเกิดเป็นครุฑนั้นเกิดจากการทำบุญที่เจือด้วยโมหะ พระไตรปิฎกยังกล่าวถึงการกำเนิดครุฑ 4 แบบ ได้แก่ เกิดจากไข่ (อัณฑชะ) เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะ) เกิดจากเมือกไคล (สังเสทชะ) และเกิดเองได้ (โอปปาติกะ) เหมือนเทวดา
รูปร่างของครุฑที่เป็นพญานกกึ่งมนุษย์อย่างที่คนไทยคุ้นตานั้นไม่ตายตัวเสมอไป เนื่องจากความเชื่อเรื่องครุฑแพร่หลายในหลายพื้นที่และประเทศ ทำให้ครุฑมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันตามตำนานความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ได้แก่
ครุฑ ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีปีกเหมือนนก
ครุฑ ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีหัวเป็นนก
ครุฑ ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีหัวและขาเป็นนก
ครุฑ ที่มีร่างกายเป็นนก แต่มีหัวเป็นมนุษย์
และครุฑ ที่มีทั้งลำตัวและหัวเป็นพญานก ซึ่งเป็นรูปแบบที่คนไทยคุ้นเคยและพบเห็นได้ทั่วไปจนถึงปัจจุบัน
ในไตรภูมิพระร่วงได้กล่าวถึงพญาครุฑว่ามีขนาดใหญ่โตมาก โดยวัดเป็น “โยชน์” ซึ่ง 1 โยชน์ เท่ากับ 16 กิโลเมตร พญาครุฑมีลำตัวใหญ่กว่า 50 โยชน์ และปีกกว้าง 50 โยชน์ เมื่อครุฑกระพือปีกเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ต้นไม้หรือสิ่งของบนพื้นดินปลิวตามลมได้ แม้แต่ผิวน้ำในมหาสมุทรยังแตกเป็นวงกว้างได้ถึง 100 โยชน์
พลังอำนาจจากคุณธรรม

ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจมหาศาลของพญาครุฑมาจากไหน? หากย้อนไปตามตำนานที่คนไทยคุ้นเคย พญาครุฑได้รับพลังจากคำอธิษฐานของ “นางวินตา” มารดาผู้ให้กำเนิด ที่ตั้งใจขอให้บุตรของตนมีพลังเหนือมนุษย์ ครุฑใช้เวลาฟักตัวในไข่นานถึง 500 ปี และเมื่อครั้งศึกแย่งชิงน้ำอมฤตจากพระจันทร์ พญาครุฑได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายด้วยความตั้งใจที่จะช่วยมารดาแม้ต้องแลกด้วยชีวิต
พระนารายณ์เห็นถึงคุณธรรมและความกตัญญูของพญาครุฑ จึงประทานความเป็นอมตะให้ ไม่มีใครหรืออาวุธใดสามารถทำลายได้ แม้แต่สายฟ้าของพระอินทร์ก็เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงมาเพียงเส้นเดียว ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งแปลว่า "ขนวิเศษ"
พระนารายณ์ยังประทานพรสำคัญแก่ครุฑ คือ การสถิตอยู่สูงกว่าพระองค์ โดยอยู่บนยอดเสาธงของพระนารายณ์ พญาครุฑจึงยอมเป็นพาหนะของพระนารายณ์และร่วมแบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ นี่คือที่มาของสัญลักษณ์ “พระนารายณ์ทรงสุบรรณ”
ด้วยเหตุนี้ พญาครุฑจึงถือเป็นเทพชั้นสูงคู่บารมีพระนารายณ์ เต็มเปี่ยมด้วยพลังอำนาจและยึดมั่นในหลักคุณธรรม พญาครุฑจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของความดี เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ คุณธรรม ความกตัญญู และการเสียสละ
จาก“ของสูง” สู่ “ของขลัง”
ในอดีต ผู้คนเชื่อว่าครุฑเป็น “ของสูง” ไม่ควรอยู่ในที่ต่ำ เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ จึงให้ความสำคัญกับการประดิษฐานในสถานที่อันเหมาะสม แต่ในปัจจุบัน พลังอำนาจและคุณธรรมของพญาครุฑได้กลายเป็นที่ศรัทธาของคนไทยในรูปแบบของวัตถุมงคล ทั้งในฐานะ “ของสูง” และ “ของขลัง” ที่ใช้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลและดลบันดาลพลังอำนาจและความเจริญรุ่งเรือง

ความศรัทธาที่มีต่อพญาครุฑ เชื่อกันว่าท่านมีพลังอำนาจ 8 ประการ ได้แก่
- เป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่และเด็ดขาด
- สามารถขจัดอาถรรพ์และคุณไสยได้ทั้งหมด ภูติผีปีศาจไม่กล้าเข้าใกล้
- เป็นเครื่องนำความเจริญรุ่งเรือง ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตการงาน
- ปกป้องคุ้มครอง ป้องกันภัยให้เป็นคงกระพัน
- เป็นเมตตามหานิยม
- นำความสงบสุขและความร่มเย็นมาให้
- ช่วยให้การค้าขายดี เป็นเครื่องนำโชคลาภนานาประการ
- สัตว์ร้ายและอสรพิษต่างไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะเกรงบารมีของพญาครุฑ
เรื่องราวจากผู้ที่บูชาพญาครุฑที่เชื่อว่าชีวิตดีขึ้นในด้านต่าง ๆ ตามที่ปรารถนา ทำให้คนไทยศรัทธาและนิยมบูชาพญาครุฑมากขึ้น ในขณะเดียวกัน มีการเล่าขานในกลุ่มผู้บูชาว่าการสร้างวัตถุมงคลพญาครุฑเป็น “ของแรง” สำหรับผู้ที่บุญบารมีไม่ถึงอาจพบอุปสรรคจนไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ นอกจากนี้ ผู้ครอบครองบูชาพญาครุฑต้องเป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลธรรม รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและบุพการี จึงจะได้รับพรและความคุ้มครองจากพญาครุฑอย่างแท้จริง
ดั่งคุณลักษณะของพญาครุฑที่ปรากฏในตำนาน