สิ่งที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์และมุมมองส่วนตัวที่ไม่เคยถูกบอกเล่าที่ไหนมาก่อน เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน ทำให้ผมตั้งสมมุติฐานบางอย่างขึ้นมา เพื่อค้นหาว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงความบังเอิญ การคิดไปเอง หรือเป็นสัญญาณที่ควรศึกษาต่อ
แต่ละส่วนของเรื่องราวนี้เกิดขึ้นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่ค่อยๆ ต่อกันจนเห็นภาพใหญ่ขึ้นทีละน้อย
เนื่องจากเรื่องนี้มีความซับซ้อน และต้องเรียบเรียงตามความคิดและความทรงจำที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา จึงอาจจะเขียนค่อนข้างยาว และจะแบ่งออกเป็นช่วงๆ
บทเริ่มต้น “หนังสือที่ได้รับ”
(ส่วนนี้เคยเขียนไว้เล็กน้อยในเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณไสย และเคยเผยแพร่ในเพจการะเกต์พยากรณ์) เรื่องมีอยู่ว่า
วันหนึ่ง มีคนส่งข้อความมาบอกว่า เธอพบหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในห้องพระที่บ้าน ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย แม้จะเข้าไปทำความสะอาดห้องพระเป็นประจำ
เธอผู้นั้นอาศัยอยู่กับคุณแม่ เนื่องจากพ่อและน้องชายเสียชีวิตไปแล้ว จึงสันนิษฐานว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นของพ่อ
แต่เธอบอกว่า แปลกใจมากที่ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนที่ท่านเสียไป แม้จะมีการทำบุญบ้านและทำความสะอาดทุกห้องอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงชั้นหนังสือต่างๆ ก็ไม่เคยมีหนังสือเล่มนี้อยู่ในความทรงจำ
อาจเป็นไปได้ว่าเธอไม่สนใจหนังสือแนวนี้ จนวันหนึ่งขณะทำความสะอาดห้องพระตามปกติ เธอพบหนังสือเล่มนี้วางอยู่อย่างเด่นชัด ด้วยความสงสัย เธอจึงนำไปให้คุณแม่ดู
คุณแม่ของเธอก็ยืนยันว่าไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อนเช่นกัน ทั้งสองคนไม่เคยสนใจเรื่องราวในลักษณะนี้มาก่อน คุณแม่ยังบอกอีกว่า แม้คุณพ่อจะเป็นคนใจบุญและสะสมพระเครื่องไว้มาก แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีคนนำมาถวาย คุณแม่ไม่เคยเห็นว่าคุณพ่อสนใจเรื่องแบบนี้เลย
เธอจึงติดต่อมาหาผม เพื่อบอกว่าอยากส่งหนังสือเล่มนี้มาให้ เพราะเห็นว่าผมทำงานด้านนี้อยู่ อาจจะเป็นประโยชน์
ไม่กี่วันต่อมา หนังสือก็มาถึงมือผม
หนังสือเล่มนี้มีขนาดเท่าหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คทั่วไป แต่กระดาษค่อนข้างเก่าและมีสีน้ำตาลอ่อน บนปกเขียนว่า
“ตำราไสยศาสตร์”
ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือและสะสมหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ บ่อยครั้งที่หากพบหนังสือเก่าที่ถูกใจก็จะซื้อเก็บไว้ แต่ก็ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย
เมื่อพลิกดูไปมา ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมไม่เคยเห็น เพราะบนปกเขียนไว้ว่า
พิมพ์เพื่อแจกญาติมิตรและผู้ที่เคารพนับถือ ด้วยอภินันทนาการจากนายวีระ เชาว์มั่น จึงทำให้เข้าใจว่า คุณพ่อของผู้ส่งหนังสือมานี้คงได้รับมาจากการร่วมงาน เป็นของที่ระลึกอย่างแน่นอน
จากนั้นก็พลิกอ่านคร่าวๆ ในหน้าแรกของหนังสือ ซึ่งเขียนไว้ว่า “ตำราไสยศาสตร์เล่มนี้ หากเกิดผลดีประการใดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่คุณอนันต์ คุณานุรักษ์ ผู้รวบรวมด้วย”
ลงชื่อ นายวีระ เชาว์มั่น
ผมรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจดี เมื่อเปิดผ่านๆ เห็นว่ามีคาถาหลายบท บางบทก็คุ้นเคย ตอนแรกคิดว่าเป็นเพียงหนังสือรวมตำราคาถาทั่วไป ซึ่งที่บ้านก็มีตำราเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาอยู่พอสมควรแล้ว
จึงอ่านข้ามๆ คร่าวๆ แล้ววางหนังสือไว้
จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็นึกอยากหยิบหนังสือมาอ่านอีกครั้ง คราวนี้เปิดไล่ไปจนถึงท้ายเล่ม พบว่ามีบทความเขียนคล้ายคำตามว่า

“คติธรรม
ของท่านเจ้าคุณญาณโมลี
วัดตานีนรสโมสร”
ข้อเขียนเริ่มต้นว่า
“ไสยศาสตร์ แปลว่า การรู้เรื่องการนอนของใจ คือการทำให้ใจสงบจากอารมณ์ทั้งที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา จนใจนิ่งอยู่ตรงกลาง หรือที่เรียกว่าวางเฉย ใจเช่นนี้เรียกว่าใจนอน
เมื่อนำไปใช้กับอารมณ์ใด ย่อมเป็นใจที่ทรงอำนาจอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถบันดาลเหตุการณ์และสรรพสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามความปรารถนา
ผู้ที่ศึกษาการนอนของใจนี้ ย่อมสามารถทำสิ่งแปลกประหลาดได้ เช่น การอยู่ยงคงกระพัน การเดินทางได้รวดเร็ว และมีเมตตามหานิยม เป็นต้น
ความรู้ประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมของบรรพบุรุษไทยมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
แต่มีหลักธรรมดาว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็มีโทษมหันต์ ไสยศาสตร์ก็เช่นกัน หากผู้เรียนรู้แล้วนำไปใช้ในทางผิด เช่น ใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้อื่นหรือสร้างความทุกข์ยาก ก็จะได้รับผลร้ายตอบแทน หาความเจริญไม่ได้ และกลายเป็นคนที่น่าสงสาร
แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ดี เช่น ต่อสู้เพื่อชาติหรือช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ก็จะได้รับผลดี มีลาภยศสรรเสริญ ซึ่งเป็นความประสงค์ของผู้สร้างตำรับไสยศาสตร์ที่แท้จริง...”
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกสะเทือนใจ พลิกไปดูด้านหลังจึงพบว่าลงวันที่ 25 ธันวาคม 2498
เมื่ออ่านหนังสือจบเล่ม ผมก็เริ่มสนใจว่า พระคุณเจ้าผู้เขียนบทความนี้คือใครกัน ด้วยตัวผมเองที่คลุกคลีกับเรื่องพิธีกรรม ความเชื่อ โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อทำงานด้านนี้มาโดยตลอด
เมื่อพบข้อความของ “พระ” ที่เขียนถึงวิชาไสยศาสตร์อย่างมีหลักการและทัศนคติที่ดี ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ผมจึงอยากค้นหาว่าท่านเจ้าคุณผู้นี้คือใคร
แน่นอนว่าผมใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล และโชคดีที่ในยุคนี้เราสามารถหาข้อมูลได้ง่ายดายผ่านกูเกิล
แต่เมื่อข้อมูลปรากฏขึ้นมา ผมก็ต้องหยุดคิดทันที
จากการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดว่า
“เจ้าคุณญาณโมลี
วัดตานีนรสโมสร”
ลิงค์แรกที่พบนำไปสู่บทความที่ระบุว่า
พระธรรมโมลี (พระเทพญาณโมลี) (เกตุ ติสฺสโร วัดตานีนรสโมสร) ท่านมีนามเดิมว่า “เกตุ”
คำว่า “เกตุ” ในวงเล็บชื่อนี้ทำให้ผมรู้สึกอึ้ง เพราะตอนเกิดผมก็มีชื่อจริงว่าเกตุเช่นกัน และเมื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากลิงค์ต่างๆ ก็ยิ่งรู้สึกทึ่งมากขึ้น
ประวัติระบุว่าท่านเป็นพระคุณเจ้าที่มีความรู้ความสามารถสูง เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยแห่งแรกในจังหวัดปัตตานี และยังเป็นนักเขียนกาพย์กลอนที่มีผลงานทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองมากมาย
หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงของท่านคือ “มหาสุบินคำฉันท์”
อดคิดไม่ได้ว่าหากท่านยังมีชีวิตอยู่ และได้เห็นหนังสือที่ท่านเขียนคำตามนี้ หากมีโอกาสก็อยากไปกราบท่านสักครั้ง แต่เมื่ออ่านประวัติก็พบว่าท่านมรณภาพไปแล้วตั้งแต่ปี 2540 โดยมีอายุรวม 100 ปี (ท่านเกิดปี 2440)
ปีที่ท่านเขียนคำตามในหนังสือดังกล่าวคือวันที่ 25 ธันวาคม 2498 ซึ่งก่อนฉันเกิด 16 ปี
สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจคือ เจ้าของหนังสือที่ส่งมาให้ก็ไม่รู้จักท่าน ฉันเองก็ไม่รู้จัก แต่ความบังเอิญที่ชื่อของท่านปรากฏในหนังสือ ทำให้ฉันหวนกลับมาพิจารณาหนังสือเล่มนี้ใหม่ว่า อาจมีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่
ขณะที่อ่านคาถาต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ ฉันก็สะดุดกับหน้าที่ 26 ซึ่งมีหัวข้อว่า
“วิธีปฏิบัติต่อพี่เลี้ยงทั้งสี่”
จากนั้นฉันจึงตัดสินใจนำหนังสือไปวางบนพานบูชา พร้อมจัดข้าวตอกดอกไม้เพื่อรำลึกถึงผู้จัดทำหนังสือ ผู้รวบรวมเขียน และพระคุณเจ้าพระธรรมโมลี โดยตั้งใจจะศึกษาตำรานี้แบบทางไกล
เชื่อหรือไม่ว่า พี่เลี้ยงตามตำราในหนังสือเล่มนี้ปรากฏขึ้นมาจริงๆ ซึ่งจะเล่าในตอนต่อไป นี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันรักและนับถือหนังสือเล่มนี้มาก พร้อมกับคิดว่า หนังสือนี้ถูกส่งมาให้ฉันอย่างตั้งใจจริงๆ หรือไม่?