ข่าวที่ทำให้คนทั้งเมืองตกใจ เมื่อพระนางเธอลักษมีลาวัณ ผู้มีพระโฉมงดงาม ภรรยาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถูกฆาตกรรมจนพบพระศพในสภาพหมก! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 3 กันยายน 2504 โดยหนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวข่าวว่า "ฆาตกรรมพระนางเธอลักษมีลาวัณ หมกพระศพเน่าในตำหนักลักษมีวิลาศ" พระชนมายุรวม 62 ชันษา

พระนางทรงมีชีวิตที่เศร้าใจหลังจากได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสี แต่ก็ถูกพระราชสวามีตัดสินใจแยกจากกัน เพราะพระนางไม่สามารถมีรัชทายาทได้ตามพระราชประสงค์ พระนางจึงเลือกที่จะอยู่ตามลำพัง ณ พระตำหนักในซอยพร้อมพงศ์ ริมคลองแสนแสบ โดยท่านทรงกล้าที่จะใช้ชีวิตแตกต่างจากสตรีในยุคนั้นที่ยึดมั่นในประเพณีโบราณ

พระนางทรงดำรงชีวิตอย่างสงบสุขและเรียบง่าย โดยใช้เวลาว่างในการเขียนงานต่างๆ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พระนางได้ย้ายไปประทับที่พระตำหนักลักษมีวิลาศ ถนนศรีอยุธยา สี่แยกพญาไท และในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ พระนางทรงรักการสันโดษและประทับอยู่เพียงพระองค์เดียวในพระตำหนัก จนทำให้ผู้มีจิตใจต่ำช้าสามารถเข้ามาก่อเหตุฆาตกรรมได้ โดยฆาตกรคือข้าหลวงคนสวน นายวิรัช และ นายแสง ซึ่งรู้ความเคลื่อนไหวในพระตำหนักเป็นอย่างดี
ผู้ก่อเหตุทราบว่าในตู้ชั้นล่างของพระตำหนักลักษมีวิลาศมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นของมีค่า จึงได้กลับเข้ามาที่พระตำหนักและแอบเข้าทางด้านหลัง ก่อนที่จะใช้ชะแลงทำร้ายพระเศียรขณะทรงประทับพรวนดินจนสิ้นพระชนม์ หลังจากนั้นขโมยเครื่องราชอิสริยาภรณ์และหลบหนีไป ชายคนสวนไปจำนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เจ้าของโรงรับจำนำรู้สึกผิดสังเกตและแจ้งตำรวจ ชายคนสวนรับสารภาพและกล่าวว่าเขารู้แค่พระนางทรงเป็นเจ้านาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเจ้านายใหญ่เช่นนั้น

( ภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์รายวันในช่วงนั้น )
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2504 เวลา 15:30 น. พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระเชษฐาต่างพระมารดา) ได้รับโทรศัพท์จาก นางสาวแน่งน้อย แย้มศิริ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เคยทำงานในพระตำหนักลักษมีวิลาศแจ้งว่าเกิดเหตุผิดปกติในพระตำหนัก เนื่องจากเธอได้พยายามกดออดเรียกและโทรศัพท์หลายครั้ง แต่ไม่มีผู้รับสาย
เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงรับทราบจึงเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังพระตำหนักลักษมีวิลาศที่สี่แยกพญาไทโดยทันที พระตำหนักกลับเงียบสงัดปราศจากผู้คน เสด็จในกรมฯ พระวิตกพระนางเธอฯ (พระขนิษฐา) จะได้รับอันตราย จึงได้เสด็จขึ้นไปยังชั้นบนของพระตำหนักเพื่อตามหา ทรงตรวจสอบห้องพระบรรทม พบว่าเครื่องทรงและทรัพย์สมบัติถูกรื้อกระจัดกระจายออกจากที่เดิม เสด็จลงมาตรวจพื้นที่ทั้งหมดอีกครั้ง พร้อมทั้งทรงเปล่งพระสุรเสียงเรียกพระนางเธอฯ ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับ
เสด็จในกรมฯ ไม่พบใครในพระตำหนัก แต่กลับได้กลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นเน่า จึงทรงดำเนินตามกลิ่นไปจนถึงโรงรถหลังพระตำหนัก เมื่อเสด็จไปถึง ทรงพบพระศพของพระนางเธอฯ ในสภาพเน่าเสีย ทรงตกใจมาก จากนั้นจึงทรงเร่งแจ้งตำรวจพญาไทให้มาชันสูตรพระศพโดยเร็วที่สุด
เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มดำเนินการชันสูตรพระศพที่ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง พบว่าบริเวณพระอุระมีบาดแผลร้ายแรงคล้ายถูกแทงอย่างทารุณถึง 4 แผล และที่พระศอมีแผลหนึ่ง อีกทั้งพระเศียรด้านหลังถูกตีจนน่วมจนพระโลหิตไหลออกมา สิ้นพระชนม์บนพื้นคอนกรีต เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน จากนั้นจึงได้ส่งพระศพไปยังแผนกนิติเวชเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบภายในพระตำหนักอย่างถี่ถ้วน พบกรรไกรที่เปื้อนเลือดตกอยู่กลางห้องพระบรรทม และพบว่าเงินส่วนพระราชสมบัติได้หายไปทั้งหมดโดยไม่ทิ้งแม้แต่บาทเดียว ขณะที่ตู้เซฟที่เก็บเครื่องฉลองพระองค์และเครื่องประดับที่มีมูลค่านับล้านบาท ยังคงอยู่ในสภาพเดิม สันนิษฐานว่าผู้ร้ายไม่สามารถหากุญแจมาไขตู้เซฟได้ทันจึงต้องรีบหนีไปก่อนที่จะมีคนมาพบเห็น
เหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญนี้ทำให้หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับพาดหัวข่าวว่า พระนางเธอลักษมีลาวัณถูกลอบปลงพระชนม์ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าการที่พระศพถูกพบที่โรงรถใกล้ห้องคนรับใช้ เป็นการกลบเกลื่อน คาดว่าผู้ฆาตกรอาจจะฆ่าในห้องบรรทมชั้นบนก่อน เนื่องจากพบคราบพระโลหิตอยู่ที่นั่น
หลังจากพระนางสิ้นพระชนม์ พระศพถูกลากมาที่โรงรถและทิ้งไว้ก่อนที่กลุ่มฆาตกรจะหลบหนีไป ภายหลังผู้ต้องหาถูกจับกุมได้เมื่อมีการแจ้งจากร้านทองที่รับจำนำของมีค่าว่ามีคนต้องสงสัยนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี จุลจอมเกล้าและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อื่นๆ มาจำนำ จึงสามารถติดตามจับกุมได้ ต่อมาผู้ต้องหาถูกพิพากษาประหารชีวิต แต่ทั้งสองได้สารภาพ จึงได้รับการลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกต่อไป เนื่องจากพระนางเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า

( ประชาชนมาเฝ้าดูการจับกุมฆาตกรที่โรงพักพญาไท )
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของ พระนางเธอลักษมีลาวัณ วังแห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างอยู่หลายปีเนื่องจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ของพระนางซึ่งกลายเป็นข่าวใหญ่หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ในช่วงนั้น ส่งผลให้วังนี้ถูกทิ้งร้างและเงียบเหงา พร้อมทั้งมีกระแสเรื่องเล่าถึงวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของตามความเชื่อไทยโบราณ จึงไม่มีทายาทคนใดกล้าเข้ามาอาศัยในวังนี้ จนในปัจจุบันก็ได้ถูกรื้อถอนออกไปอย่างน่าเสียดาย
ข้อมูลและภาพประกอบจาก wikipedia