ในรายการ “คนอวดผี” ช่วงประสบการณ์ขนหัวลุก คุณสุเมธ องอาจ ได้มาเล่าประสบการณ์สยองขวัญที่พบเจอมา 3 เรื่อง ได้แก่ ผีเปรตขอส่วนบุญ , ตึกเรียนสยองขวัญ และ ผีตามมาอยู่ด้วย ซึ่งเหล่านี้คุณสุเมธได้ประสบตั้งแต่ยังเด็กจนถึงตอนโต
เรื่องแรกที่คุณสุเมธเล่าคือ ผีเปรตขอส่วนบุญ ซึ่งเกิดขึ้นขณะที่เขาบวชเณรในช่วงปิดเทอมใหญ่ตอนประมาณ ป.5 ขึ้น ป.6 โดยวัดที่เขาบวชอยู่ในตัวเมือง หลังจากเขาบวชได้ประมาณอาทิตย์หนึ่งก็เริ่มคุ้นเคยกับพื้นที่และรู้สึกคุ้นชินกับการนั่งสมาธิ เมื่อพระพี่เลี้ยงไปสวดศพ เขาก็ไปนั่งสมาธิที่ข้างหลังวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโกศเก่าๆ เรียบร้อย และที่วางศพที่เตรียมไว้สำหรับการเผา

ตอนที่เขานั่งสมาธิอยู่นั้น ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มเงียบลงเหมือนถูกอะไรบางอย่างมาปิดหู จนเกิดเสียงแปลกๆดังขึ้น เสียงเหมือนไมค์หอนแต่ไม่ดังมาก มันวี้อยู่ในหู เขาคิดว่าตัวเองอาจหูอื้อเลยกลืนน้ำลายไป แต่มันไม่หาย เขาจึงลืมตาและเห็นภาพแปลกๆ ก่อนที่จะหลับตาอีกครั้งและนึกถึงบทสวดมนต์หลายๆบท
เสียงที่ดังขึ้นก็หายไป และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เขาคิดว่าเหตุการณ์นี้คงเป็นการเจอผีเปรตจริงๆ ซึ่งพระท่านก็กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติที่เณรจะเจอและไม่ต้องกลัว
เรื่องที่สองเกี่ยวกับ ตึกเรียนสยองขวัญ ตอนนั้นผมเข้ามหาลัยแล้ว เรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งตึกที่เรียนเป็นตึกเก่าที่สุด ตึก 1 ตึกนี้ตั้งอยู่ขวางถนน ต้องผ่านอุโมงค์เพื่อเข้าไป และมีปีกตึกทั้งสองข้าง ครั้งแรกที่เข้ามาผมเจอรุ่นพี่คนหนึ่งที่เล่นวงโยธวาทิตกับผม รุ่นพี่พาผมไปหาคณาจารย์ภาควิชาดนตรี และผมก็ได้เป็นรองประธานชมรมดนตรี พร้อมกุญแจห้องดนตรี ห้องนี้ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยนที่สุดในตึกนี้ เป็นห้องที่อยู่สุดปีกซ้ายของตึก และมันเป็นที่ที่ผมได้ใช้เวลาในการเล่นกีตาร์และคีย์บอร์ด
ผมใช้เวลานอนที่ห้องดนตรีนี้ 4 ปี แต่ในช่วง 3 ปีแรกคนอื่นๆมักจะเจอผีที่นี่ แต่ผมไม่เคยเจอเลย อย่างไรก็ตามในช่วงปิดเทอม ผมยังไม่กลับบ้านเพราะงานที่ค้างอยู่ งานนั้นคือการวาดรูปเฟรมสีน้ำมัน ซึ่งไม่สามารถพาไปที่อื่นได้เพราะมันแห้งยากและต้องทิ้งไว้ที่ห้องดนตรี โดยไม่มีใครมาที่ห้องเพราะเป็นช่วงปิดเทอม ผมวาดไปจนเริ่มรู้สึกประหลาด เพราะไม่มีใครมาหาเลย จนถึงเวลาที่เกือบจะ 4-5 ทุ่ม ผมออกมาจากห้องและเดินไปที่ห้องน้ำ ระหว่างทางนั้นก็เห็นรูปสีน้ำมันประมาณ 30 กว่าผืนเปิดออกเอง ราวกับมีคนวิ่งไล่เปิด โดยไม่มีลมหรือเสียงอะไร
ผมสะดุ้งและพึมพำว่า ไม่มีใครหลอกเราจริงๆ ใช่ไหม ตอนนั้นผมคิดว่าไม่มีใครอยู่เลย พอยามก็ไม่อยู่ เพราะเขาไปงานผ้าป่ากฐิน ตอนนั้นผมคิดว่าคงไม่เป็นไร แต่ก็รู้สึกแหยงอยู่ดี การที่ไม่ได้เจอสิ่งที่เห็นหรือสัมผัสมันทำให้ผมรู้สึกสยองเล็กน้อย ผมจึงตัดสินใจไม่ไปอาบน้ำและกลับไปนอนที่ห้องดนตรี แต่อย่างที่บอกมันไม่ได้เจอตัวอะไร แต่ความรู้สึกมันก็ทำให้รู้สึกแปลก
เรื่องที่สามเกี่ยวกับ ผีตามมาอยู่ด้วย ครั้งนี้ผมโตแล้วและเป็นนักแสดงอยู่ด้วย ผมไปเล่นหนังกับพี่มานพ อุดมเดช ในบทมาเฟียขายยา ซึ่งมีฉากเลิฟซีนกับผู้หญิงสองคน ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก แต่ว่าหลังจากกลับบ้านแล้ว ผมรู้สึกว่าเริ่มมีบางอย่างผิดปกติ เพราะมีกลิ่นหอมลอยมาติดจมูก กลิ่นที่หอมหวานเหมือนแป้งเด็กและดอกจำปา จำปี จนทำให้ผมสงสัยว่ามันคืออะไร มันไม่เหมือนกับน้ำหอมของผู้หญิงสองคนในหนัง
เมื่อผมขับรถกลับถึงหมู่บ้านก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ปกติแล้ว กลิ่นหอมยังคงติดอยู่ในอากาศจนถึงบ้าน ผมจึงยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนที่จะจอดรถหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ของผม ผมพูดขึ้นมาเบาๆ ว่าถ้าผีจะตามมาอยู่ในบ้านก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ดูแลเด็กๆในบ้านด้วย ผมบอกกับมันว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ช่วยดูแลกันบ้าง และจะทำบุญให้เรื่อยๆ ผมพูดออกเสียงตามปกติ เพราะทุกครั้งที่ผมพูดกับอะไรสักอย่างจะพูดออกเสียงเสมอ
เมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน กลิ่นยังคงเหมือนเดิม ผมขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อจะนอน พอขึ้นไปได้ไม่นาน ภรรยาผมก็ลุกขึ้นเพื่อไปเอาลูกจากชั้นสาม ซึ่งลูกนอนอยู่กับยายที่ชั้นสามแล้วพาลงมาไว้กับผม ส่วนภรรยาผมจะไปทำอาหาร เขาเอาลูกลงมาที่ชั้นสองแล้วลูกก็บอกว่าไม่อยากเข้าห้องร้องไห้ ภรรยาผมก็แปลกใจ เพราะลูกปกติชอบเล่นกับผมเสมอเลย พอเห็นลูกไม่ยอมอยู่กับผม ผมเลยให้ลูกกลับไปนอนกับยาย และภรรยาผมจะลงมาทำอาหารคนเดียว เขาลงมาหลังจากนั้นเพื่อจะเปลี่ยนชุดนอน แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาก็เห็นอะไรบางอย่างแล้วกรี๊ดเสียงดัง ผมที่กำลังหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่น เขากรี๊ดเสียงดังมาก น้ำตาไหล ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าเห็นเด็กนั่งอยู่บนหัวผม เป็นเด็กผู้ชาย ผมตกใจมาก แต่ผมก็รีบทำทุกอย่างเพื่อปกป้องภรรยาผม โดยกลัวว่าเขาจะตกจากเตียง ผมเลยรีบไปหาแก้วมาวางข้าวและขนมให้เป็นการขอพรบางอย่าง ไม่คิดว่าเขาจะยอมแต่เขาก็ทำให้
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ภรรยาผมถามว่าจะทำอะไรดี เพราะคิวงานทั้งหมดต้องเลื่อน ทำให้เราก็ไม่สามารถไปเที่ยวหรือทำอะไรตามแผนได้ ผมเลยตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากภัทร ผมให้ภัทรช่วยหางานให้ ผมพูดว่า 'ภัทร ลูกพ่อไม่มีงานแล้ว หางานให้พ่อหน่อยนะ' พอถึงเวลา 4 ทุ่ม ผมก็ลองพูดไปอย่างนั้น ในวันถัดมาเช้าผมได้รับโทรศัพท์จากงานใหม่เข้ามา 2 งาน ทำให้รู้ว่าเวลาขอ งานมักจะเข้ามาทุกครั้งอย่างที่ผมต้องการ แม้ไม่ใช่งานใหญ่ แต่มันช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาที่ว่างงานไปได้ จริงๆ ผมก็คิดว่าเป็นผลจากกุมารที่คอยช่วยเสมอด้วย ความเชื่อที่มีเกี่ยวกับบุญและโชคจากลูกผมก็ยิ่งทำให้มันเกิดขึ้นตามที่คิด
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากรายการคนอวดผี