คาถาอาคม เป็นความเชื่อของชาวไทยตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ว่าปัจจุบันความเชื่อนี้อาจลดน้อยลงเนื่องจากยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่พิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่า แต่ยังคงมีผู้คนที่สงสัยและอยากรู้ว่าแท้จริงแล้ว "คาถา อาคม" มีที่มาและประวัติอย่างไร เรารวบรวมข้อมูลจาก Mytour! Horoscope มาให้ได้ศึกษากัน

ที่มาของคาถาและการใช้มนต์อาคม
พระคาถา หรือ คาถา เป็นวิชาอาคมที่ใช้เพื่อเสริมสร้างความศักดิ์สิทธิ์ โดยการภาวนาและท่องคาถาเพื่อสร้างกระแสจิตที่มีพลัง ซึ่งเริ่มแพร่หลายในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ก่อนที่จะเกิดการสังคายนาครั้งที่ 3 (ตติยสังคายนา) และเมื่อพุทธศาสนาและพราหมณ์ในอินเดียผสมผสานกัน จนเกิดลัทธิ พุทธตันตระ (ลัทธิที่เกี่ยวข้องกับการใช้คาถาและอาคมพระคาถา) ขึ้น
ในช่วงเวลานั้นศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อมั่นในลัทธิไสยศาสตร์และใช้เวทมนตร์คาถาในการปลุกเสก รวมถึงการลงเลขยันต์และการประกอบอาถรรพ์ต่างๆ แม้ว่าพระพุทธศาสนาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธการใช้คาถา เพราะในพระพุทธศาสนาก็มีปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งประกอบด้วยสองประเภทหลัก คือ
1. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนที่เป็นอัศจรรย์และสามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนได้
2. อิทธิปาฏิหาริย์ คือฤทธิ์อัศจรรย์ที่สามารถแสดงให้เห็นได้
การใช้เวทมนตร์คาถาให้ได้ผลสำเร็จนั้นต้องอาศัยจิตที่มั่นคงและสมาธิ ซึ่งสมาธินี้ต้องมาจากวิปัสสนาญาณ แม้ว่าเราจะบรรลุได้เพียงแค่ฌานสมาบัติ แต่ก็สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ตามระดับของตนได้ ตัวอย่างเช่น พระเทวทัตต์ในครั้งแรกที่เข้าถึงรูปฌาน ก็สามารถแปลงกายและกระทำการอวดเพื่อให้ศัตรูกุมารหลงเชื่อและเลื่อมใสได้
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในด้านอิทธิปาฏิหาริย์ที่ต้องการ พระคาถาและการฝึกสมาธิแบบนี้จึงได้รับความนิยมมากขึ้น และทำให้มีคณาจารย์หลายท่านมุ่งมั่นสอนวิชาเวทมนตร์ พร้อมกับการปรับเปลี่ยนวิธีการไสยศาสตร์จากพราหมณ์ โดยการคัดเลือกและปรับใช้เนื้อมนต์ของพราหมณ์โดยตรงแล้วเติมพระพุทธมนต์เข้าไปแทน เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าเป็นพุทธมนต์ที่มีอานุภาพเช่นนี้ ย่อมยิ่งกว่าของพราหมณ์แน่นอน
ดังนั้นเมื่อเราพุทธศาสนิกชนปฏิบัติการใช้เวทมนตร์คาถาในปัจจุบัน จะพบว่าเป็นการดัดแปลงพระพุทธมนต์ที่ถูกสอดแทรกลงในวิธีการไสยศาสตร์เดิม ซึ่งถูกปรับเปลี่ยนโดยบรรพาจารย์ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นลัทธิไสยศาสตร์ของพราหมณ์อย่างที่บางคนเข้าใจ

ความหมายของคาถาและมนต์คาถา
คำว่า “คาถา” และวิชาอาคมในปัจจุบันหมายถึงการใช้คาถาเพื่อสร้างพลังศักดิ์สิทธิ์ โดยการสวดภาวนาเพื่อกระตุ้นกระแสจิต บทคาถาต่างๆ เช่น คาถา ชินบัญชร คาถาเสริมเมตตา คาถาคงกระพันชาตรี คาถาเพื่อความปลอดภัย คาถาแผ่ส่วนกุศล คาถา แผ่เมตตา คาถาป้องกันภัย คาถาบูชาเทพเจ้าหรือพระพุทธรูปต่างๆ เป็นเครื่องมือในการเสริมพลังศรัทธา
คาถาเหล่านี้เป็นมรดกที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ ผู้คนในอดีตใช้คาถาได้ผลดีเพราะมีความเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างแน่วแน่ ส่วนการท่องหรือการออกเสียงคาถาอาจมีความแตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ หรือภาคอีสาน แต่ถึงจะออกเสียงต่างกัน ทำไมถึงยังคงได้ผลเหมือนกัน? เพราะความตั้งใจมั่นและความศรัทธาในครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเรานั่นเอง
เมื่อจะท่องคาถาหรือเวทมนต์ใดๆ ต้องเริ่มด้วยการทำจิตใจให้บริสุทธิ์และอาบน้ำเพื่อชำระล้างสิ่งโสโครก จากนั้นจึงทำการบูชาพระด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และตั้งจิตขอพรให้สามารถท่องคาถาได้ง่ายจำได้แม่น เมื่อท่องคาถาตามตำราแล้ว ก็ต้องกราบตำรานั้น 3 ครั้ง และต้องระมัดระวังไม่ให้เหยียบหรือทับตำรา ห้ามนั่งทับหรือนอนทับตำราเพราะจะทำให้ปัญญามืดมัว
เมื่อจะท่องหรือใช้พระคาถาใดๆ ต้องเริ่มต้นด้วยการตั้ง นะโม 3 จบ ก่อนทุกครั้ง
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
การใช้คาถาเป็นวิธีการภาวนาเพื่อสร้างพลังจิตภายในตัวเอง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและสามารถโน้มน้าวจิตใจไปในทิศทางที่ต้องการ เมื่อเราตั้งจิตใจมั่นคงและภาวนาคาถาอย่างตั้งใจ เราจะสามารถประสบผลสำเร็จตามที่หวัง แต่การพึ่งพาคาถาเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ หากใจของเรายังต้องบริสุทธิ์ คิดดี ทำดี และไม่เบียดเบียนผู้อื่น การทำเช่นนี้จะช่วยเสริมให้คาถาที่เราท่องได้ผลมากยิ่งขึ้น