พระพุทธรูปแต่ละปางที่เราเห็นกันบ่อยๆ เคยสงสัยกันไหมว่ามีความหมายหรือที่มาจากไหนบ้าง และแต่ละปางมีลักษณะเป็นอย่างไร? วันนี้ Mytour! Horoscope จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันค่ะ

พระพุทธรูปปางอธิษฐานขอพรเพื่อบรรพชิต
พระพุทธรูปปางอธิษฐานเพศบรรพชิตในลักษณะการประทับขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นตั้งในระดับพระอุระ (อก) พร้อมกับเบนฝ่าพระหัตถ์ไปทางซ้าย การกระทำนี้แสดงถึงการสำรวมจิตและความตั้งใจในการอธิษฐานเพศบรรพชิต
ที่มาของปางอธิษฐานเพศบรรพชิต
ในขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์และมาถึงแม่น้ำอโนมา พระองค์ได้ลงจากหลังม้าและประทับนั่งบนหาดทรายริมฝั่งน้ำ และรับสั่งกับนายฉันนะให้ส่งเครื่องประดับและม้ากลับพระนคร เจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งใจที่จะบรรพชาเป็นบรรพชิต ณ จุดนี้ และพระองค์ทรงมั่นใจว่าจะกลับมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเทศนาโปรดพระประยูรญาติ

พระพุทธรูปปางรับมธุปายาส
พระพุทธรูปปางรับมธุปายาส ในปางนี้พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้า เป็นท่ารับถาดข้าวมธุปายาส บางแบบอาจแสดงในท่าประทับนั่งห้อยพระบาท
ความเป็นมาของปางรับมธุปายาส
ในวันเพ็ญวิสาขะ หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (ปีระกา) ซึ่งเป็นวันครบรอบพระชนมายุ 35 พรรษาของพระบรมโพธิสัตว์ นางสุชาดา ลูกสาวเศรษฐีจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ได้นำถาดทองคำที่ใส่ข้าวมธุปายาสมาแก้บนแก่รุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ เมื่อเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอยู่ใต้ต้นไทร ทรงมีรัศมีแผ่ซ่านออกมาจากพระกาย จึงเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา จึงนำข้าวมธุปายาสไปถวาย พร้อมกับถาดทองคำ พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองออกเพื่อรับถาดข้าวมธุปายาส

พระพุทธรูปปางรับหญ้าคา
พระพุทธรูปปางรับหญ้าคาในลักษณะพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระวรกาย ส่วนพระหัตถ์ขวายื่นออกไปข้างหน้าเพื่อรับหญ้าคา บางแบบแสดงให้เห็นพระพุทธรูปถือหญ้าคาอยู่ในพระหัตถ์ขวา หรือมีภาพพราหมณ์ยื่นหญ้าคาถวายให้
ความเป็นมาของปางรับหญ้าคา
พระบรมโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นถาดทองลอยไปตามกระแสน้ำทวนทิศทางตามคำอธิษฐาน จึงทรงโสมนัสและเสด็จไปยังร่มสาละ เมื่อถึงเวลาได้เสด็จกลับไปยังอัสสัตถโพธิพฤกษ์มณฑล และระหว่างทางได้พบกับโสตถิยพราหมณ์ผู้ถือหญ้ากุสะ 8 กำ ซึ่งได้ถวายให้แด่พระบรมโพธิสัตว์

พระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่ประดับตกแต่งด้วยสีส้มเข้มบนพาหาและพระหัตถ์ มีความหมายในการตัดกิเลสและความหลงใหลในโลกมนุษย์
พระพุทธรูปปางมารวิชัยอยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ มือขวาของพระองค์วางบนพระชานุและมือซ้ายวางไว้บนพระเพลา โดยท่าทางนี้สื่อถึงการตัดกิเลสและความสงบทางจิตใจ
พระบรมโพธิสัตว์ที่ประทับอยู่บนโพธิบัลลังก์เผชิญหน้ากับพญามารซึ่งนำทัพมาพร้อมศัสตราวุธ แต่การทดสอบนี้กลับทำให้ศัสตราวุธกลายเป็นบุปผามาลัย และพระบรมโพธิสัตว์ไม่หวั่นเกรง
กล่าวว่า "รัตนบัลลังก์นี้ได้ถือกำเนิดจากบุญที่พระองค์ได้สั่งสมไว้ในอดีต โดยมีแม่พระธรณีเป็นสักขีพยาน ซึ่งแม่พระธรณีได้ปล่อยมวยผมพร้อมกับบีบน้ำกรวด เพื่ออุทิศผลบุญจากการทำทานของพระบรมโพธิสัตว์ให้ไหลไปพัดพาเหล่ามารจนหมดสิ้น"

พระพุทธรูปในปางสมาธิหรือปางตรัสรู้
พระพุทธรูปในปางสมาธิหรือปางตรัสรู้ พระพุทธรูปประทับนั่งในท่าผ่อนคลาย สมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองวางหงายซ้อนกันบนตัก โดยที่พระหัตถ์ขวามือทับพระหัตถ์ซ้าย ส่วนพระชงฆ์ (แข้ง) ขวามือทับพระชงฆ์ซ้าย
ความเป็นมาของปางสมาธิหรือปางตรัสรู้
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ได้ชัยชนะเหนือพญามารแล้ว พระองค์ทรงตั้งใจบำเพ็ญสมาธิต่อไป จนจิตของพระองค์มีความมั่นคงบริสุทธิ์ปราศจากอุปกิเลส ในช่วงปฐมยามพระองค์ได้บรรลุจตูปปาตญาณ คือสามารถเห็นการเกิดและการตายของสรรพสัตว์ ที่สรรพสัตว์เกิดมาและต้องตายไป ตามกรรมที่ตนได้ทำ ในปัจฉิมยาม พระองค์ได้บรรลุอาสวักขยญาณ และได้ทำลายอาสวกิเลสทั้งหมด จนได้บรรลุอนุตสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวลารุ่งอรุโณทัย ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (วันวิสาขบูชา) ซึ่งสถานที่ตรัสรู้ของพระองค์ตั้งอยู่ที่ตำบลพุทธคยา ประเทศอินเดีย

พระพุทธรูปปางวายเนตร
พระพุทธรูปในปางถวายเนตร พระพุทธรูปอยู่ในท่ายืน พระเนตรทั้งสองลืมเพ่งมองไปข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาด้านล่างและประสานกันอยู่ที่หน้าพระเพลา (ตัก) โดยพระหัตถ์ขวาวางทับบนพระหัตถ์ซ้าย อยู่ในท่าพระอากาศสังวร พระเนตรอยู่ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ความเป็นมาของปางถวายเนตร
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ได้ประทับอยู่ใต้ร่มต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อเสวยวิมุตติสุข (สุขจากการหลุดพ้น) เป็นเวลา 7 วัน ต่อมา พระองค์เสด็จไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์และทรงยืนทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา 7 วัน โดยไม่ยอมกะพริบพระเนตร เพื่อบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ที่พระองค์เสด็จมาทรงยืนทอดพระเนตรนั้น ได้รับชื่อว่า "อนิมิสเจดียสถาน"

พระพุทธรูปปางเรือนแก้ว
พระพุทธรูปในปางเรือนแก้ว พระพุทธรูปประทับนั่งในท่าขัดสมาธิในเรือนแก้ว พระหัตถ์ซ้ายวางหงายอยู่บนพระเพลา (ตัก) ส่วนพระหัตถ์ขวาวางคว่ำอยู่ที่พระชานุ (เข่า) ในบางแบบ พระหัตถ์ทั้งสองจะวางซ้อนกันอยู่บนพระเพลา และบางแบบก็จะอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชรในเรือนแก้ว
ความเป็นมาของปางเรือนแก้ว
ในสัปดาห์ที่ 4 หลังจากวันตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ ณ เรือนแก้วที่เทวดาได้เนรมิตถวายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระองค์ทรงพิจารณาธรรมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน สถานที่นั้นได้รับการเรียกว่า "รัตนฆรเจดีย์" จากหนังสือพระปฐมสมโพธิกถา กล่าวถึงว่า ในสัปดาห์แรกถึงที่สาม พระฉัพพรรณรังสี (รัศมี 6 ประการ) ยังไม่ได้แผ่ออกมาจากพระวรกาย จนกระทั่งในสัปดาห์ที่ 4 เมื่อพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิในเรือนแก้ว พระฉัพพรรณรังสีจึงได้แผ่ออกจากพระวรกาย

พระพุทธรูปปางนาคปรก
พระพุทธรูปในปางนาคปรก พระพุทธรูปประทับนั่งในท่าขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองวางหงายซ้อนกันอยู่บนพระเพลา (ตัก) โดยพระหัตถ์ขวามือทับพระหัตถ์ซ้ายในลักษณะเดียวกับปางสมาธิ แต่แตกต่างตรงที่มีพญานาคขดตัวเป็นวงกลมสร้างเป็นพุทธบัลลังก์ และแผ่พังพานปกคลุมเหนือพระเศียร
ความเป็นมาของปางนาคปรก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากใต้ต้นไทรและเสด็จไปประทับใต้ต้นมุจลินทร์ (ต้นจิก) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในช่วงเวลานั้นฝนและลมหนาวตกพรำไม่ขาดสายตลอด 7 วัน พญานาคราชชื่อมุจลินทร์ ราชาแห่งนาคพิภพได้ขึ้นมาจากบาดาลและขดกายเป็นพุทธบัลลังก์ จากนั้นแผ่พังพานคล้ายกับเศวตฉัตรเพื่อปกป้องพระพุทธองค์จากฝน ลม ยุง เหลือบ ริ้น ไร และสัตว์เลื้อยคลาน เมื่อฝนหยุดลง พญานาคราชจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มและเข้ามานมัสการพระพุทธองค์

พระพุทธรูปปางประสานบาตร
พระพุทธรูปในปางประสานบาตร พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิ บาตรตั้งอยู่บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตรอยู่ในลักษณะหงาย ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นไปปิดปากบาตร
ความเป็นมาของปางประสานบาตร
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 49 วัน พ่อค้าสองพี่น้องชื่อ ตปุสสะและภัลลิกะ ได้รับคำแนะนำจากเทวดาผู้เป็นญาติในอดีตชาติให้นำภัตตาหารถวายพระพุทธองค์เพื่อประโยชน์สุขตลอดกาล เมื่อทั้งสองเห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไม้เกด จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและเข้าไปนมัสการพร้อมกับถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง พระพุทธองค์ทรงประสงค์จะรับ แต่บาตรที่ฆฏิการพรหมถวายในวันเสด็จออกบรรพชาหายไป ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จึงเหาะไปนำบาตรศิลามาถวายพระพุทธองค์คนละใบ จากนั้นพระองค์ทรงประสานบาตรทั้ง 4 ใบให้เป็นใบเดียวกันเพื่อใช้รับข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง

พระพุทธรูปปางรำพึง
พระพุทธรูปในปางรำพึง ประทับยืน พระหัตถ์ทั้งสองประสานยกขึ้นมาอยู่ที่พระอุระ (อก) โดยพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย
ความเป็นมาของปางรำพึง
ในขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นไทร พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่ามนุษย์ในโลกนี้เปรียบเสมือนดอกบัว 4 ประเภท ดังนี้คือ
1. อุคฆิฏิตัญญู หมายถึง ผู้ที่มีปัญญาหรือสติปัญญาที่ดี เมื่อได้ฟังธรรมจะเข้าใจได้โดยเร็ว เสมือนดอกบัวที่ขึ้นพ้นน้ำและเบ่งบานทันทีเมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์
2. วิปจิตัญญู คือ ผู้ที่มีสติปัญญาปานกลาง เมื่อฟังธรรมแล้วต้องพิจารณาและฝึกฝนต่อไป จะสามารถเข้าใจได้ในไม่ช้า เหมือนดอกบัวที่อยู่ใกล้ผิวน้ำ ซึ่งจะบานในภายหลัง
3. เนยยะ คือ ผู้ที่มีสติปัญญาน้อย เมื่อฟังธรรมจะต้องพิจารณาและฝึกฝนอยู่เสมอ แม้จะต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ในที่สุดจะสามารถเข้าใจได้ เช่นเดียวกับดอกบัวใต้น้ำที่จะโผล่ขึ้นมาเบ่งบานในวันหนึ่ง
4. ปทปรมะ คือ ผู้ที่ขาดสติปัญญา แม้จะฟังธรรมก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่จมอยู่ในโคลนตม ไม่มีโอกาสเบ่งบานได้
เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาด้วยพระปรีชาญาณ ก็ทรงอธิษฐานที่จะสั่งสอนธรรมแก่สัตว์โลกและตั้งพุทธปณิธานว่าจะทรงดำรงพระชนม์จนกว่าจะสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แพร่หลาย และเกิดประโยชน์แก่ทุกหมู่เหล่า

พระพุทธรูปในปางห้ามสมุทร
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปในท่านยืน พระหัตถ์ทั้งสองถูกยกขึ้นและยื่นออกไปข้างหน้าในระดับเดียวกับพระอุระ (อก) ซึ่งแสดงถึงการห้าม บางรูปพระพุทธองค์ทรงเครื่องด้วย
ครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อเผยแผ่พระศาสนา ทรงขอประทับอยู่ในสำนักของอุรุเวลกัสสปะ ผู้เป็นหัวหน้าชฎิลที่ได้รับการเคารพจากผู้คนในแคว้นมคธ พระองค์ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์หลายประการ เพื่อให้หัวหน้าชฎิลคลายความพยศ พระพุทธเจ้าทรงห้ามน้ำที่ไหลมาจากทุกทิศไม่ให้เข้ามาถึงที่ประทับ พร้อมทั้งเสด็จจงกรมในพื้นที่ล้อมรอบด้วยน้ำ ชฎิลพายเรือมาดูแล้วเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงยอมรับในพระพุทธานุภาพและขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ

พระพุทธรูปปางประทานโอวาท
พระพุทธรูปปางประธานโอวาท หรือที่รู้จักกันในชื่อปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ เป็นพระพุทธรูปที่มีพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ โดยที่พระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นมาและจีบนิ้วให้เสมอพระอุระ ซึ่งเป็นกิริยาที่แสดงถึงการประทานโอวาทปาติโมกข์
สถานที่เกิดเหตุการณ์สำคัญนี้คือพระเวฬวันมหาวิหารในกรุงราชคฤห์ หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้ประมาณ 9 เดือน โดยเกิดการประชุมที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ซึ่งเป็นการประชุมที่ครบองค์ 4 ที่สำคัญ
เหตุการณ์ในวันนั้นมีลักษณะสำคัญดังนี้: 1. วันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ซึ่งเป็นวันที่ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ 2. พระสงฆ์ทั้งหมด 1,250 รูปมาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย 3. ทุกพระสงฆ์ล้วนเป็นพระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 4. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ ซึ่งได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธองค์ในวันนั้น พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ที่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการละเว้นจากความชั่ว ทำความดีให้เต็มที่ และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์และผ่องใส ซึ่งเหตุการณ์นี้ตรงกับวันมาฆบูชา

พระพุทธรูปปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นหนึ่งในปางที่แสดงถึงความสามารถอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าในการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่เหนือธรรมชาติ
พระพุทธรูปปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในท่านี้ พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน โดยพระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมอพระอุระ (อก) ส่วนพระหัตถ์ขวาห้อยลงข้างพระวรกาย บางแบบพระหัตถ์ขวาก็ยกขึ้นเสมอพระอุระ และพระหัตถ์ซ้ายห้อยลงตามปกติ บางครั้งอาจพักพระชานุ (เข่า)
ความเป็นมาของปางแสดงปาฏิหาริย์ เกิดขึ้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระประยูรญาติครั้งแรก โดยในขณะนั้นพระญาติผู้ใหญ่ไม่ยอมให้ความเคารพแก่พระองค์ เพื่อสอนให้ลดทิฐิมานะ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์โดยการเหาะขึ้นไปในอากาศ ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้พระประยูรญาติประจักษ์ถึงพลังอำนาจของพระองค์
พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์โดยเหาะขึ้นไปบนอากาศ ทรงแสดงให้พระประยูรญาติเห็นว่า ละอองธุลีพระบาทที่ตกลงมาจากพระองค์นั้นไปถึงเศียรเกล้าของพระญาติ พระเจ้าสุทโธทนะทรงประณมพระหัตถ์แล้วกราบทูลว่า
"เมื่อพระองค์ประสูติวันแรก หม่อมฉันให้พี่เลี้ยงพามานมัสการกาฬเทวิลดาบส พระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ขึ้นไปสถิตอยู่บนชฎาของดาบส หม่อมฉันได้ถวายนมัสการเป็นครั้งแรก ครั้งถึงงานพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญ พระองค์ประทับ ณ ใต้ต้นหว้า เงาร่มไม้หว้านั้นก็มิได้เลื่อนขยับไปตามแนวดวงตะวันแม้เป็นเวลาบ่าย หม่อมฉันได้ถวายนมัสการเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่หม่อมฉันถวายนมัสการ"
เมื่อพระประยูรญาติได้เห็นพระพุทธองค์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ก็คลายทิฐิมานะและถวายบูชาพระพุทธองค์ ด้วยอานุภาพของพระองค์ทำให้เกิดมหาเมฆในอากาศ ตามมาด้วยฝนโบกขรพรรษที่ตกลงมา ฝนนี้มีสีแดง และจะเปียกเฉพาะผู้ที่ปรารถนาเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการจะไม่เปียก ในขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็ได้ทรงเล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดกให้พระประยูรญาติฟัง ซึ่งฝนโบกขรพรรษนี้ก็เคยตกในครั้งที่พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรแล้ว

พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร เป็นการแสดงถึงการประทานพระบาตร เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการและเป็นการแสดงถึงความสละและความเมตตาของพระองค์
พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองของพระพุทธองค์ประคองบาตรไว้ที่ระดับสะเอว โดยบาตรจะอยู่บนฝ่าพระหัตถ์ในท่าประคอง แสดงถึงการโปรดสัตว์และการบำเพ็ญทานอย่างยิ่งใหญ่
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงเวสสันดรชาดกแก่พระประยูรญาติแล้ว เหล่าพระประยูรญาติได้ถวายการนมัสการและทูลลากลับไปยังพระราชสถาน แต่ไม่มีใครทูลเชิญพระพุทธองค์ให้เสด็จรับภัตตาหารเช้า เนื่องจากเข้าใจว่าพระพุทธองค์จะเสด็จไปเสวยภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์ เมื่อถึงรุ่งเช้า พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่าในอดีตเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาประทับ ณ พระนครของพระบิดา พระองค์ได้เสด็จบิณฑบาตเพื่อโปรดมหาชน พระพุทธองค์จึงได้เสด็จบิณฑบาตตามประเพณี

พระพุทธรูปปางโปรดพุทธบิดา แสดงถึงพระพุทธองค์ในท่ายืน โดยพระหัตถ์ซ้ายจะประคองบาตร ในขณะที่พระหัตถ์ขวาจะยกขึ้นในท่าจีบนิ้ว ซึ่งเป็นท่าที่มีความหมายถึงการโปรดพระบิดา
พระพุทธรูปปางโปรดพุทธบิดา ในท่านี้ พระพุทธองค์ประทับยืน พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตรไว้ ในขณะที่พระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงการโปรดพระพุทธบิดาและการแสดงธรรม
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตในพระนคร พระเจ้าสุทโธทนะทรงเห็นว่าเป็นการเสื่อมพระเกียรติของพระโอรสที่ทรงเป็นกษัตริย์ พระพุทธองค์ทรงตรัสอธิบายว่า การบิณฑบาตเป็นพุทธประเพณีที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตและพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตทรงปฏิบัติ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอริยวังสิกสูตรแก่พระพุทธบิดา
พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงคือ "การเป็นบรรพชิตนั้นไม่ควรประมาทในอาหาร ผู้ที่ประพฤติสุจริตธรรมจะประสบความสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต" เมื่อพระพุทธองค์เสร็จจากการแสดงพระธรรมเทศนา พระพุทธบิดาได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และกราบทูลเชิญพระพุทธองค์พร้อมพระสงฆ์สาวกไปเสวยภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์ ต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะก็ได้บรรลุอรหัตผลในภายหลัง
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dmc.tv/ (หนังสือปางพระพุทธรูป หัวข้อธรรมในคำสอน)
ภาพประกอบจาก วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรวิหาร จังหวัดนครปฐม