5 ผู้ที่ถูกกล่าวถึงในพุทธประวัติว่าได้ตกลงไปในธรณีสูบ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถูกถ่ายทอดมาอย่างยาวนานผ่านคำเล่าขานของคนโบราณ ชาวสนุก!ดูดวง ใครที่อยากรู้เรื่องราวลี้ลับนี้สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ....

1. พระเทวทัต
พระเทวทัต ในช่วงสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ชายของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ผู้ที่ภายหลังได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเป็นลูกของลุงของพระพุทธเจ้าเอง พระเทวทัตตามจองล้างพระพุทธเจ้ามาหลายชาติแล้ว ในอดีตชาตินั้น พระเทวทัตเคยเป็นพ่อค้าวานิชที่มีจิตใจโลภและทุจริต ในขณะที่พระพุทธองค์ก็ได้เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าวานิชเช่นกัน แต่กลับเป็นฝ่ายสุจริต
วันหนึ่ง หญิงชราผู้ซึ่งตกยากและเป็นผู้ดี ได้เหลือถาดทองคำจากตระกูลเก่า จึงนำออกมาขาย พระเทวทัตเห็นเช่นนั้น จึงใช้เล่ห์กลลวงหญิงชราด้วยการบอกว่าถาดนั้นไม่ใช่ทองคำแท้ แต่เป็นทองปลอม และเสนอราคาต่ำเพื่อจะซื้อ ในขณะที่หญิงชรารู้ดีว่าถาดนั้นเป็นทองคำแท้ จึงไม่ยอมขายให้ พระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพ่อค้ามาพบเข้า และเห็นถาดทองคำแท้จึงซื้อในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งทำให้พระเทวทัตโกรธแค้นอย่างมาก ถ้าหากพระพุทธองค์ไม่ซื้อหญิงชราก็อาจต้องขายให้พระเทวทัตเพราะความยากจน ด้วยความโกรธพระเทวทัตจึงผูกพยาบาทและกอบเม็ดทรายขึ้นมา 1 กำมือหว่านลงไปบนพื้นดิน พร้อมประกาศว่า "เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ 1 เม็ด เท่ากับ 1 ชาติ จึงตามเบียดเบียนพยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วน"
จนกระทั่งมาถึงพระชาติสุดท้ายก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ในชาติที่พระพุทธเจ้าทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตเกิดเป็นพระพราหมณ์ชื่อว่า "ชูชก" ซึ่งภายหลังพระเทวทัตก็ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีความริษยาต่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่เยาว์วัย หลังจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เจ้าชายเทวทัตได้บวชเช่นกัน เมื่อบวชแล้วก็มีความสามารถในอภิญญา สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงเกิดความจองหองและท้าทายพระพุทธองค์ โดยใช้ฤทธิ์แปลงกายเป็นพระศาสดาและกล่าวหาพระพุทธองค์ในเรื่องของพรหมจรรย์ว่าอนุญาตให้สงฆ์สาวกฉันเนื้อสัตว์ที่นำมาถวาย และเริ่มเผยแผ่การฉันมังสวิรัติ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์อนุญาตนั้นเป็นการเสื่อมเสีย
นอกจากนี้ พระเทวทัตยังได้ลวงเจ้าชายอชาติศัตรูให้กบฏต่อต่อพระราชบิดาและตั้งตัวเป็นพระราชา พระเจ้าอชาติศัตรูเคยเลื่อมใสในพระพุทธองค์ แต่เมื่อถูกพระเทวทัตหลอกลวง เขาก็เสียอุปนิสัยแห่งมรรคผลและหันไปทำกรรมหนักถึงขั้นปลงพระชนม์พระราชบิดาของตน พระเทวทัตเองก็คิดจะปลงพระชนม์พระพุทธองค์เพื่อจะตั้งตนเป็นพระศาสดาแทน หลังจากนั้นพระเทวทัตได้ส่งนายขมังธนูมาลอบปลงพระชนม์พระพุทธองค์ และยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง "นาฬาคีรี" จนมึนเมาแล้วปล่อยให้มันทำร้ายพระพุทธองค์ นอกจากนี้ยังได้ยุยงหมู่พระสงฆ์ให้เห็นความมัวหมองในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ ขณะเดียวกันพระเทวทัตยังหันมาฉันมังสวิรัติเป็นการโอ้อวดพรหมจรรย์ที่สูงกว่าพระพุทธองค์ จนความเลวร้ายของพระเทวทัตทวีความรุนแรงมากขึ้น และแผ่นดินที่รองรับอยู่ก็ไม่สามารถทนได้ จึงแยกตัวออกและสูบพระเทวทัตตกลงสู่ขุมนรกอเวจี ที่ซึ่งพระเทวทัตต้องเสวยผลกรรมอันหนักหนาอย่างยาวนานจนแทบจะไม่สามารถนับกาลเวลาได้

2. นันทมานพ
นันทมานพ มิได้ทำร้ายพระพุทธองค์ แต่กลับทำร้ายสาวกของพระพุทธองค์ คือ "พระอุบลวรรณาเถรี" ซึ่งเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ โดยออกบวชตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี พระอุบลวรรณาเถรีมีความงามเป็นที่เลื่องลือเมื่อยังเป็นฆราวาส และเป็นที่หมายปองของพระราชาคหบดีและมหาเศรษฐีจำนวนมาก แต่พระอุบลวรรณาเถรีเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส จึงออกบวชเป็นภิกษุณีและบรรลุอรหัตผลไม่นานหลังจากบวช โดยมีฤทธิ์มาก แต่นันทมานพกลับมีความต้องการด้านกามราคะฝังแน่นในใจ
วันหนึ่งนันทมานพได้ทราบว่าพระอุบลวรรณาเถรีจำพรรษาอยู่ในป่าที่มีเพียงกระท่อมเล็ก ๆ เขาจึงแฝงตัวรอจนเช้า เมื่อพระอุบลวรรณาเถรีออกบิณฑบาตแล้ว นันทมานพก็แอบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงในกระท่อม เมื่อพระอุบลวรรณาเถรีกลับจากบิณฑบาตและนั่งพักอย่างสงบ นันทมานพจึงออกมาจากที่ซ่อนและเริ่มปลุกปล้ำพระอุบลวรรณาเถรี แม้พระอุบลวรรณาเถรีจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ จึงกล่าวเตือนแก่นันทมานพว่า "จงอย่าทำเช่นนี้ ความหายนะจะมาสู่ท่าน" แต่เขากลับไม่ฟังและปลุกปล้ำจนสำเร็จความปรารถนา หลังจากนั้นเมื่อก้าวลงจากแคร่ เขาก็ถูกแผ่นดินสูบตกลงไปสู่มหานรกอเวจีเนื่องจากกรรมที่เลวร้ายจากการกระทำ
พระอุบลวรรณาเถรีได้รับคำวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่า การสัมผัสเช่นนั้นพระอุบลวรรณาเถรีจะต้องไม่มีความยินดีในสิ่งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแก่พุทธสาวกว่า... "พระอรหันต์นั้นมิใช่ไม้ผุ ไม่มีกิเลส ไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตาที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เป็น เช่นนั้น"

3. นันทยักษ์
นันทยักษ์ มิได้สร้างกรรมต่อตัวพระพุทธองค์ แต่กลับไปกระทำร้ายพระสารีบุตร ผู้บำเพ็ญธรรมอย่างเคร่งครัด ในขณะนั้น นันทยักษ์ผู้มีฤทธิ์เดช สามารถเหาะเดินอากาศได้ จึงบินมาพร้อมกับเหมตายักษ์ เมื่อมาถึงที่พระสารีบุตรกำลังเข้าสู่สมาบัติในอากาศธาตุ ตรงที่พระสารีบุตรฝึกนิโรธสมาบัติ ไม่มีสิ่งใดกีดขวางได้ นันทยักษ์จึงเกิดโทสะในจิตใจเพราะในชาติที่ผ่านมานั้นเขามีความอาฆาตพยาบาทพระเถระ จึงเกิดความคิดที่จะทำร้ายพระสารีบุตรด้วยความโกรธแค้น เหมตายักษ์จึงทัดทานเขาให้หยุดแต่ก็ไม่เป็นผล
แม้จะได้รับการห้ามจากเหมตายักษ์ นันทยักษ์ก็ไม่ฟัง เขาเหาะขึ้นไปในอากาศและใช้กระบองอันเป็นอาวุธของตนฟาดลงบนศีรษะพระสารีบุตร ความแรงของการฟาดนั้นสามารถทำลายภูเขาได้ถึง 100 ลูกในคราวเดียว แต่พระสารีบุตรที่อยู่ในสมาบัตินั้นไม่รู้สึกถึงอันตรายจากการโจมตีของนันทยักษ์ เมื่อเห็นว่าการกระทำของตนไม่มีผล พระนันทยักษ์จึงเกิดอาการร้อนรนในใจและกล่าวเสียงดังว่า "เราร้อน ... เราร้อน" แล้วตกลงมาและแผ่นดินก็เปิดช่องดึงร่างของนันทยักษ์ให้หายลับไปในบัดดล ก่อนที่เขาจะดิ่งลงสู่มหานรกอเวจีที่ลึกที่สุด

4. นางจิญจมาณวิกา
นางจิญจมาณวิกา ถูกใช้โดยพวก "ปริพาชก" ซึ่งเป็นบุคคลจากลัทธิอื่นที่อิจฉาความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ พวกเขามีแผนที่จะสร้างความเดือดร้อน โดยการจ้างนางจิญจมาณวิกาให้ทำเป็นท้องและใช้ไม้ผูกที่เอว จากนั้นไปแสดงท่าทางร้องขอให้พระสมณะโคดมที่กำลังเทศน์อยู่ให้หยุดและไปตัดฟืนให้แทน เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ลูกเกิดโดยไม่ลำบาก
พระพุทธองค์ทรงได้ยินเรื่องราวนี้ จึงหยุดการเทศนาและตรัสกับนางจิญจมาณวิกาอย่างสงบ
"ภัคคินี ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขามิได้รู้เรื่องด้วยดอกนะ จะมีเธอกับฉันเพียงสองคนเท่านั้นละที่รู้กัน "
พระพุทธองค์ทรงตรัสด้วยความพอพระทัยท่ามกลางความสงสัยของเหล่าพุทธบริษัท เรื่องนี้ทำให้พระอินทร์ต้องลงมารับหน้าที่ปกป้องผู้ทรงคุณธรรมสูงสุด จึงแปลงกายเป็นหนูแล้วไปกัดเชือกที่ผูกไม้ที่เหมือนคนท้องจนหลุดออก พุทธบริษัทเห็นการกระทำของมารจึงพากันขับไล่โดยการขว้างก้อนหินและไม้ นางจิญจมาณวิการีบหนีไป แต่เมื่อพ้นสายตาของพระพุทธองค์ เธอก็ถูกพาชำระโทษลงสู่นรกมหาอเวจีจากกรรมที่เธอก่อไว้
ในชาติที่แล้ว นางจิญจมาณวิกาเกิดเป็นนางอมิตตดา ภริยาของชูชก หรือพระเทวทัต ผู้ที่เกิดในยุคเดียวกับพระโพธิสัตว์ที่ได้อุบัติเป็นพระเวสสันดร

5. พระเจ้าสุปปพุทธะ
พระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โกลิยะและพระราชบิดาของพระเทวทัต เมื่อได้ทราบว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบลงสู่นรกมหาอเวจี พระเจ้าสุปปพุทธะกลับไม่สำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับเกิดความอาฆาตพยาบาทพระพุทธองค์ เพราะไม่เพียงแต่พระพุทธองค์ทำให้พระเทวทัตต้องรับผลกรรม แต่ยังทำให้เจ้าหญิงยโสธราผู้เป็นธิดาของพระองค์ต้องกลายเป็นหม้าย จึงพยายามกลั่นแกล้งพระพุทธองค์โดยใช้ข้าราชบริพารไปนั่งดื่มเมรัยขวางทางที่พระพุทธองค์จะเสด็จออกบิณฑบาต
เนื่องจากมีทางเดียวที่พระพุทธองค์จะเสด็จได้ เมื่อเสด็จไม่ผ่านเพราะถูกพระเจ้าสุปปพุทธะและข้าราชบริพารขวาง พระพุทธองค์จึงทรงอดอาหารในวันนั้น พระอานนท์จึงทูลถามถึงผลกรรมของพระเจ้าสุปปพุทธะ พระพุทธองค์ตรัสพุทธฎีกาว่า "อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปนับได้ 7 วัน พระเจ้าสุปปพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป"
เมื่อบริวารของพระเจ้าสุปปพุทธะไปรายงาน พระเจ้าสุปปพุทธะจึงคิดจะทำให้พุทธฎีกาของพระพุทธองค์ไม่เป็นจริง จึงขึ้นไปประทับที่ปราสาท 7 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีนายทวารคอยป้องกันอย่างเข้มงวด พระเจ้าสุปปพุทธะตรัสกับนายทวารที่แข็งแรงว่า "ในระหว่าง 7 วันนี้ ถ้าฉันลงมาละก็ พวกเธอจงขัดขวางเอาไว้ไม่มีใครทำโทษ" ประกาศให้ข้าราชบริพารและพระบรมวงศานุวงศ์รับรู้เพื่อไม่ให้นายทวารต้องโทษ
เมื่อครบ 7 วัน ม้าแก้วซึ่งเป็นม้าทรงโปรดปรานของพระเจ้าสุปปพุทธะเริ่มอาละวาด กระทืบโรงและร้องเสียงดัง พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดความกังวลในอาการของม้า จึงขาดสติและลงจากปราสาทชั้น 7 แต่ปรากฏว่านายทวารไม่ได้ขัดขวาง เพราะคิดว่าเวลาครบกำหนดแล้ว เมื่อพระเจ้าสุปปพุทธะเหยียบแผ่นดิน พระธรณีสูบพระองค์ลงไปสู่มหานรกอเวจี ตามพุทธฎีกาที่ตรัสแก่พระอานนท์
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก http://board.postjung.com/