เมื่อเราทราบที่มาของพระพุทธรูปในท่าต่างๆ ทั้ง 15 ปางแล้ว มาเริ่มต้นสำรวจข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับพระพุทธรูปปางต่างๆ ต่อกันเถอะค่ะ Mytour! Horoscope

พระพุทธรูปปางเปิดโลก
พระพุทธรูปปางเปิดโลก พระพุทธรูปในท่ายืนบนดอกบัว พระหัตถ์ทั้งสองห้อยข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองออกไปข้างหน้า เป็นกิริยาทรงเปิดโลกบางทีก็ยกฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นเพื่อทรงเปิดโลกให้เห็น
เมื่อครบ 3 เดือน หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระองค์ได้ทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้ง 3 คือ เทวโลก ยมโลก และมนุษยโลก ด้วยพุทธานุภาพ ทำให้เทวดามองเห็นมนุษย์และสัตว์นรก มนุษย์มองเห็นเทวดาและสัตว์นรก สัตว์นรกมองเห็นมนุษย์และเทวดา ก่อนจะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปยังสังกัสสนครในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11

พระพุทธรูปปางห้ามแก่นจันทร์
พระพุทธรูปปางห้ามแก่นจันทร์ พระพุทธรูปในท่ายืน พระหัตถ์ขวาห้อยลงข้างพระวรกาย ฝ่าพระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) และยื่นออกไปข้างหน้า เป็นกิริยาทรงห้าม
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีตำนานกล่าวว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งนครสาวัตถี ทรงคิดถึงพระพุทธองค์มาก ด้วยความเคารพและศรัทธา จึงสั่งให้ช่างหลวงทำพระพุทธรูปลักษณะเหมือนพระพุทธองค์ ด้วยไม้แก่นจันทร์หอมประณีต ตั้งไว้ในพระราชวังเพื่อสักการบูชา พระพุทธรูปไม้แก่นจันทร์องค์นี้จึงถือเป็นพระพุทธรูปองค์แรกในพระพุทธศาสนา

พระพุทธรูปปางสมาธิเพชร
พระพุทธรูปปางสมาธิเพชร พระพุทธรูปในท่านั่งขัดสมาธิ ไขว้พระชงฆ์ (แข้ง) หงายฝ่าพระบาททั้งสองข้าง ฝ่าพระหัตถ์วางหงายซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย
หลังจากที่พระบรมโพธิสัตว์ได้รับหญ้าคาจากโสตถิยพราหมณ์แล้ว ทรงนำหญ้านั้นไปปูเป็นบัลลังก์ ณ ควงไม้อัสสัตถโพธิพฤกษ์ แล้วประทับนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานว่า "แม้เนื้อและเลือดในสรีระจะเหือดแห้งจนเหลือเพียงหนังเอ็นและกระดูก แต่หากข้าพเจ้ายังไม่บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าพเจ้าจะไม่ทำลายบัลลังก์นี้"

พระพุทธรูปปางประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
พระพุทธรูปปางประดิษฐานรอยพระพุทธบาท พระพุทธรูปในท่ายืน พระหัตถ์ทั้งสองวางบนพระเพลา (ตัก) หรือบางแบบประสานพระหัตถ์ที่พระเพลา พระบาทซ้ายเหยียบหลังพระบาทขวา เป็นกิริยากดพระบาท
ปางประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ 3 เหตุการณ์ ดังนี้ ครั้งแรกเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จเขาสัจพันธ์ ทรงหยุดบุษบกอยู่กลางอากาศเพื่อทรมานสัจพันธ์ฤาษีให้ละมิจฉาทิฐิ จนพระสัจพันธ์ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ต่อมาพญานาคราชทูลขอให้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทริมฝั่งนัมทามหานที
ในครั้งที่สองเมื่อเสด็จกลับมาถึงเขาสัจพันธ์ พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้พระสัจพันธ์พักอยู่ที่เขาแห่งนี้เพื่อช่วยผู้ที่เคยได้รับสัทธิผิดๆ ให้พ้นจากมิจฉาทิฐิ

พระพุทธรูปปางชี้มาร
พระพุทธรูปปางชี้มาร พระพุทธรูปในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระวรกาย ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นอยู่ในระดับพระพักตร์ ชี้นิ้วพระหัตถ์ไปข้างหน้า
พระโคธิกเถระปฏิบัติธรรมจนสำเร็จอรหัตผลกลายเป็นพระอรหันต์ มารคิดว่า วิญญาณของท่านเพิ่งออกจากร่าง จึงแฝงกายเข้าไปในก้อนเมฆและเดินตามหาวิญญาณของท่าน แต่ไม่พบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกพระหัตถ์ชี้มารให้ภิกษุทั้งหลายดู และตรัสบอกภิกษุว่า
"มารผู้มีใจบาปกำลังแสวงหาวิญญาณพระโคธิกะอยู่ แต่ไม่มีวิญญาณของพระเถระอยู่ในที่นั่น เพราะท่านได้เข้าสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว" มารแปลงกายเป็นมาณพน้อยเข้ามาทูลถามพระพุทธองค์เกี่ยวกับพระโคธิกะ พระพุทธองค์ตรัสบอกว่า พระโคธิกะนิพพานแล้ว มารตกใจและหายไปในทันที พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้มีศีลบริสุทธิ์และอยู่ในความไม่ประมาทย่อมเข้าถึงวิมุตติฌานที่ทำให้มารไม่สามารถเข้ามาได้"

พระพุทธรูปปางปฐมบัญญัติ
พระพุทธรูปปางปฐมบัญญัติ พระพุทธรูปประทับนั่งในท่าขัดสมาธิ ยกฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าในท่าตะแคง
ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่นครเวสาลี พระสุทินกลันทบุตรได้ฟังพระธรรมเทศนาและเกิดความเลื่อมใสจนทูลขอบรรพชาอุปสมบท แต่บิดามารดาต้องการให้ท่านดูแลสมบัติของตระกูล พระสุทินยังคงยินดีในพรหมจรรย์ บิดาจึงขอให้ท่านมีทายาทเพื่อสืบสกุล พระสุทินจึงได้ร่วมประเวณีกับภรรยาเก่าและมีบุตรชาย ต่อมาท่านเกิดความไม่สบายใจ จึงได้เล่าให้ภิกษุทั้งหลายทราบ เรื่องถึงพระพุทธองค์ ซึ่งทรงติเตียนการกระทำของพระสุทินว่าไม่สมควรแก่สมณะ
พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า "ภิกษุที่เสพเมถุนจะต้องขาดจากความเป็นภิกษุทันที" ซึ่งเป็นปฐมบัญญัติ ข้อแรกในพระวินัยสำหรับพระภิกษุ แม้การกระทำของพระสุทินในครั้งนั้นจะยังไม่ขาดจากความเป็นภิกษุ เพราะยังไม่มีสิกขาบทห้ามไว้ แต่หากภิกษุใดกระทำเช่นนี้ในภายหลังจะถือว่าเป็นปาราชิกและขาดจากความเป็นภิกษุทันที

พระพุทธรูปปางประทานพร
พระพุทธรูปปางประทานพร พระพุทธรูปประทับนั่งในท่าขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) ส่วนพระหัตถ์ขวายื่นออกไปข้างหน้า วางบนพระชานุ (เข่า)
ในครั้งที่พระอานนท์ได้รับเลือกให้เป็นพุทธอุปัฏฐาก ท่านได้ขอพรจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 8 ประการ พรแรกคือ ขอไม่ให้พระพุทธองค์ประทานจีวรที่ประณีตแก่ท่าน พรที่สองคือ ไม่ขอรับบิณฑบาตที่ประณีตจากพระพุทธองค์ พรที่สามคือ ไม่ขอให้พระพุทธองค์พาท่านอยู่ในคันธกุฎีเดียวกัน และพรที่สี่คือ ไม่ขอให้พระพุทธองค์พาท่านไปในที่ที่ได้รับนิมนต์ ส่วนพรที่ห้าถึงแปด ท่านขอให้พระพุทธองค์ไปในที่นิมนต์ที่ท่านได้มา, ถ้ามีความสงสัยสามารถถามได้ทันที, ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมสามารถขอให้พระพุทธองค์แสดงให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ประทานพรทั้ง 8 ข้อให้แก่พระอานนท์ตามที่ท่านขอ

พระพุทธรูปปางโปรดพญาชมพูบดีหรือปางทรงเครื่อง
พระพุทธรูปปางโปรดพญาชมพูบดีหรือปางทรงเครื่อง พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ (เข่า) ทรงเครื่องพระมหากษัตริย์อย่างวิจิตร
พญาชมพูบดีผู้มีอำนาจมาก มีความอิจฉาริษยาพระเจ้าพิมพิสาร เพราะทรงมีพระราชวังที่สวยงามกว่าพระราชวังของพญาชมพูบดี จึงมารุกรานและกดขี่พระเจ้าพิมพิสารจนพระองค์ต้องหนีไปขอพึ่งพระบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเนรมิตพระองค์เองเป็นพระราชาธิราชที่ยิ่งใหญ่และงดงามดุจท้าวมหาพรหม และรับสั่งให้ท้าวสักกเทวราชไปเชิญพญาชมพูบดี พระพญาชมพูบดีตกตะลึงในความยิ่งใหญ่และความสวยงามของพระราชา และเมื่อพระพุทธองค์ทรงให้พญาชมพูบดีแสดงฤทธิ์ แต่พญาชมพูบดีกลับพ่ายแพ้ต่อพระพุทธองค์ จึงทรงแสดงธรรมจนพญาชมพูบดีเข้าใจในความไม่ยั่งยืนของราชสมบัติและทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์จึงทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่พญาชมพูบดี

พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์
พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ พระพุทธรูปประทับนั่งบนก้อนศิลา พระบาททั้งสองวางบนดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระชานุ (เข่า) พระหัตถ์ขวาวางหงายบนพระชานุ โดยมักสร้างช้างหมอบใช้งวงจับกระบอกน้ำ และมีลิงถือรวงผึ้งถวาย
ในอดีตครั้งหนึ่ง พระภิกษุในวัดโฆสิตาราม กรุงโกสัมพี เกิดการทะเลาะวิวาทกันและพฤติกรรมไม่เป็นที่พอพระทัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเบื่อหน่ายพระทัย จึงเสด็จไปจำพรรษาที่หมู่บ้านปาลิเลยยกะ โดยมีพญาช้างปาลิเลยยกะและลิงตัวหนึ่งเป็นอุปัฏฐาก ครั้นออกพรรษา พระอานนท์และคณะพระภิกษุมากราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์เสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับ พญาช้างที่ปวดร้าวจากการพลัดพรากก็ได้ล้มลงตาย บรรดาพระภิกษุที่เคยว่ายากก็ได้ทราบข่าว จึงรีบมาขอขมาพระพุทธองค์และแสดงความสำนึกผิดต่อพระองค์

พระพุทธรูปปางโปรดองคุลิมาลโจร
พระพุทธรูปปางโปรดองคุลิมาลโจร เป็นพระพุทธรูปในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างกาย ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ นิ้วมือยกตรง หันฝ่าพระหัตถ์ไปทางซ้าย
ที่มาของปางโปรดองคุลิมาลโจร
อหิงสกกุมาร บุตรของพราหมณ์ปุโรหิตแห่งนครสาวัตถี ได้ศึกษาวิชาต่างๆ ที่สำนักทิศาปาโมกข์ในเมืองตักศิลา ทว่าอาจารย์ของเขาถูกยุยงจนเชื่อว่า อหิงสกะต้องการล้มล้างท่าน จึงหาทางกำจัดโดยให้คนอื่นฆ่าและสัญญาว่าจะสอน "วิษณุมนต์" โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องนำเอานิ้วมือมนุษย์จำนวนหนึ่งพันนิ้วจากหนึ่งพันคนมาถวายเพื่อบูชาครู
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทราบจากพระอนาคตังสญาณว่า อหิงสกะ หรือองคุลิมาลโจร ซึ่งมีนิ้วมือเป็นมาลัย กำลังจะทำกรรมร้ายแรงด้วยการฆ่ามารดาของตน พระพุทธองค์จึงเสด็จไปขวางทาง เมื่อองคุลิมาลโจรตะโกนว่า "หยุดก่อนสมณะ" พระพุทธองค์ทรงตอบว่า "เราหยุดแล้ว แต่ท่านนั่นแหละยังไม่หยุด" จากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมจนองคุลิมาลขอรับบรรพชา และพระพุทธองค์ก็ได้ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ องคุลิมาลได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

พระพุทธรูปในท่าประทานอภัย
พระพุทธรูปในท่าประทานอภัย (นั่ง) ทรงประทับในท่าขัดสมาธิ ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นเสมอพระอุระและตั้งฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองให้หันไปข้างหน้าเล็กน้อย บางแบบเป็นพระอิริยาบถยืน
ที่มาของท่าประทานอภัย
พระเจ้าอชาตศัตรู พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร จากกรุงราชคฤห์ ทรงถูกพระเทวทัตยุยงให้ปลงพระชนม์พระราชบิดา ก่อนจะขึ้นครองราชย์แทน พระเจ้าอชาตศัตรูยังได้สนับสนุนพระเทวทัต โดยส่งนายขมังธนูไปทำการปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การกระทำไม่สำเร็จ เมื่อภายหลังพระเจ้าอชาตศัตรูได้สำนึกผิด จึงได้เสด็จมาขอสารภาพและขอพระราชทานอภัยโทษจากพระพุทธองค์ พร้อมทั้งหันมานับถือพระรัตนตรัยและสนับสนุนการบำรุงพระพุทธศาสนา โดยทรงมีส่วนช่วยในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 1

พระพุทธรูปในท่าพิจารณาชราธรรม
พระพุทธรูปในท่าพิจารณาชราธรรม พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิ โดยมือทั้งสองข้างวางคว่ำอยู่บนเข่าทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นท่าที่แสดงถึงการตรึกตรองและพิจารณาความจริงของโลก
ที่มาของปางพิจารณาชราธรรม
ในพรรษาที่ 45 ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์เกี่ยวกับชราธรรมว่า "ดูก่อนอานนท์ ตอนนี้เราชราภาพและล่วงเลยวัยเข้าสู่ 80 ปีแล้ว ร่างกายของตถาคตอ่อนแอเหมือนเกวียนที่ชำรุด จำเป็นต้องซ่อมแซมและใช้ไม้ไผ่ยึดไว้ ซึ่งไม่ใช่ส่วนสำคัญของเกวียนนั้น ดูก่อนอานนท์ เมื่อใดตถาคตเข้าอนิมิตเจโตสมาธิ ตั้งจิตสงบมั่น และไม่ยึดติดกับนิมิตใดๆ ทำให้ร่างกายแห่งตถาคตผ่องใสและมีความสุข ดูก่อนอานนท์ จงมีตนเป็นเกราะและธรรมเป็นที่พึ่งในทุกอิริยาบถเถิด"

พระพุทธรูปในท่าปางแสดงโอฬาริกนิมิต
พระพุทธรูปในท่าปางแสดงโอฬาริกนิมิต พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิ โดยพระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องอก และพระหัตถ์ขวาวางบนพระเข่า
ที่มาของปางแสดงโอฬาริกนิมิต
ในวันเพ็ญเดือน 3 หรือวันมาฆบูชา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับที่ปาวาลเจดีย์ และทรงแสดงโอฬาริกนิมิต โดยตรัสกับพระอานนท์ว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาทภาวนา หรืออิทธิบาท 4 ให้สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ยาวนานตามที่ต้องการ ถึงกัปหนึ่งหรือมากกว่านั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงนิมิตนี้ถึง 3 ครั้ง แต่พระอานนท์มิได้ทูลขอให้พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพตลอดกัปเนื่องจากมารดลใจ พระพุทธองค์เคยแสดงนิมิตในลักษณะนี้ในสถานที่ต่างๆ ถึง 16 ครั้ง (อิทธิบาท 4 ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)

พระพุทธรูปปางห้ามมาร
พระพุทธรูปในท่าปางห้ามมาร พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระตัก ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นห้ามเหนือพระอุระ แสดงท่าทีในการห้ามอย่างมั่นคง
ที่มาของปางห้ามมาร
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาธรรมในเรือนแก้วแล้ว ทรงเสด็จไปประทับใต้ต้นไทร ในขณะนั้น ธิดาทั้ง 3 ของพญามาร ได้แก่ นางราคา นางตัณหา และนางอรดี ได้อาสาทำลายตบะเดชะของพระพุทธองค์ โดยการแปลงร่างเป็นหญิงสาวงามในวัยต่างๆ และแสดงมายาอิตถีด้วยการฟ้อนรำขับร้อง แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงยินยอม ทรงขับไล่ธิดาทั้ง 3 ของพญามารให้หันหลังกลับไป

พระพุทธรูปปางปลงอายุสังขาร
พระพุทธรูปในท่าปางปลงอายุสังขาร พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเข่า หรือบางครั้งวางหงายบนพระตัก ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นทาบที่พระอุระ แสดงท่าทางลูบพระวรกาย
ที่มาของปางปลงอายุสังขาร
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ ปาวาลเจดีย์ มารได้ทูลขอให้พระพุทธองค์ปรินิพพาน เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร เกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหวและเสียงกลองทิพย์ดังลั่น พระอานนท์จึงทูลถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า หลังจากนี้อีก 3 เดือน พระองค์จะปรินิพพาน และได้ตรัสย้ำว่า พระองค์ได้แสดงโอฬาริกนิมิตถึง 16 ครั้งแล้ว แม้พระอานนท์จะทูลขอให้พระพุทธองค์ดำรงพระชนม์ชีพตลอดกัปหนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์จะไม่กลับไปอีก เพราะได้สละสิ่งนั้นแล้ว

พระพุทธรูปปางทรงพยากรณ์
พระพุทธรูปปางทรงพยากรณ์ พระพุทธรูปประทับในท่าบรรทมตะแคงขวา ลืมพระเนตร พระเศียรหนุนเขนย (หมอน) พระหัตถ์ซ้ายทอดไปตามพระกาย ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นวางที่พระอุทร (ท้อง)
ที่มาของปางทรงพยากรณ์
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสงค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์รู้สึกเศร้าโศกเสียใจจนหลบไปยืนร้องไห้อยู่คนเดียว พระพุทธองค์จึงตรัสปลอบว่า สังขารทั้งหลายไม่คงทน ทุกสิ่งมีการเกิด การแปรปรวน และการดับสูญ เมื่อมนุษย์พลัดพรากจากสิ่งที่รักถือเป็นเรื่องธรรมดา ทรงให้ละความเศร้าโศกและตั้งใจปฏิบัติธรรม และพระพุทธองค์ยังทรงสรรเสริญพระอานนท์ พร้อมทั้งตรัสพยากรณ์ว่า พระอานนท์จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก่อนที่คณะสงฆ์จะจัดทำปฐมสังคายนา

พระพุทธรูปปางปรินิพพาน
พระพุทธรูปในท่าปางปรินิพพาน พระพุทธรูปบรรทมตะแคงขวา พระเนตรหลับ พระเศียรหนุนหมอน พระหัตถ์ซ้ายทอดตามพระวรกาย ส่วนพระหัตถ์ขวาวางหงายอยู่ข้างพระเขนย พระบาทซ้ายทับซ้อนพระบาทขวา
ที่มาของปางปรินิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน 6) ก่อนพุทธศักราช 1 ปี การถวายพระเพลิงพระศพจัดขึ้นที่มกุฎพันธนเจดีย์ในกรุงกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 (วันอัฏฐมี) หลังจากนั้น 3 เดือน คณะสงฆ์ได้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น 7 เดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dmc.tv/ (หนังสือปางพระพุทธรูป หัวข้อธรรมในคำสอน)
ภาพประกอบจาก วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรวิหาร จังหวัดนครปฐม