เมื่อคนเราประสบกับวิกฤต จนไม่รู้จะทำอย่างไร ก็มักจะหันไปหาหมอดูก่อนเสมอ ผมเคยเห็นบ่อยครั้งที่คนเคยดูหมอดูว่าเป็นแค่การเดาทาย หรือเคยว่าคนไปหาหมอว่าเชื่อในความงมงาย กลับกลายเป็นว่าในยามที่ทุกข์ท่วมท้น และมืดมนถึงที่สุด ก็กลับต้องขอคำทำนายจากหมอดู ว่าเมื่อไหร่จะพ้นจากความมืดในชีวิตนั้น
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร หรือจะมองว่าหมอดูจะต้องไปอยู่ที่ไหน ระหว่างสวรรค์หรือโลกใต้ดินก็ตาม อาชีพหมอดูก็ยังคงมีอยู่ต่อไป แม้ว่าโลกนี้จะพังทลายไป โลกใหม่ที่มนุษย์ยังคงอาศัยอยู่ก็ยังต้องพบเจอกับหมอดูเช่นเดิม

ประเด็นสำคัญคือต้องถามว่า การไปหาหมอและการเป็นหมอดูนั้นมีความขัดแย้งกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาแค่ไหน? เราต้องมองในภาพรวมของพุทธศาสนาเสียก่อน ว่าหลักการสูงสุดหรือ "ธง" ของพุทธศาสนาคืออะไร
ธงแรกของพุทธศาสนาคือการเชื่อในผลของกรรมที่มีจริง สัตว์โลกย่อมดำเนินไปตามกรรม ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ตามอำเภอใจได้ กรรมที่เก่ากำหนดว่าใครจะเหมาะสมกับการเกิดเป็นมนุษย์ มีชีวิตสองขาหรือสี่ขา หรือแม้กระทั่งสัตว์น้ำและสัตว์บกได้อย่างไร รวมถึงช่วงเวลาที่ต้องประสบเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายก็ถูกกำหนดโดยกรรมเช่นกัน
ความจริงคือเช่นนี้ แต่มักจะมองเห็นได้ยาก เพราะเมื่อมนุษย์เกิดใหม่ก็จะลืมสิ่งที่เคยทำมา และไม่สามารถระลึกถึงมันได้ จำได้แต่สิ่งที่ต้องการ ฉะนั้น หากมีศาสตร์หรือบุคคลใดที่สามารถชี้ให้เห็นถึงความจริงเกี่ยวกับกรรมและวิบากอย่างมีเหตุผล ก็จะถือได้ว่าเป็นประตูเข้าสู่พุทธศาสนาอันกว้างขวางสำหรับผู้คนทั่วไป
หมอดูที่มีความสามารถที่ทำนายอย่างแม่นยำ จนทำให้ลูกค้าประหลาดใจและสงสัยว่า "รู้ได้อย่างไร?" คือหมอดูประเภทที่สามารถบอกคนฟังได้ว่าทำไมเขามีชีวิตแบบนี้ เคยทำทานอย่างไร รักษาศีลหรือผิดศีลข้อไหน จึงมีชะตากรรมอย่างนี้ แนวโน้มที่ตามมาคือ ลูกค้าจะเริ่มเชื่อในเรื่องของกรรมวิบาก และเริ่มสนใจว่าเขาจะสามารถทำกรรมใหม่เพื่อบรรเทาหรือเอาชนะกรรมเก่าได้อย่างไร
ธงสุดท้ายของพุทธศาสนาคือการบรรลุถึงการสิ้นสุดของทุกข์ทางใจอย่างเด็ดขาด ซึ่งวิธีเดียวที่ทำได้คือการเจริญสติ ให้เห็นกายและใจของตนเองในปัจจุบันว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่น่าจะยึดถืออะไรในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน จนอุปาทานถูกทำลาย ทุกข์และโศกจะหายไป
คีย์เวิร์ดที่สำคัญในการมุ่งไปสู่ธงสูงสุดคือ "อยู่กับปัจจุบันให้เป็น!" การไปหาหมอหรือการเป็นหมอดูจะขัดขวางการไปถึงธงสุดท้ายได้แค่ไหน? เมื่อใจของคนที่ไปหาหมออยากได้แค่คำทำนายในอนาคต ซึ่งหมายความว่าใจของหมอดูต้องเกี่ยวข้องกับอนาคตของผู้อื่น ดังนั้นโอกาสที่จะปรับจิตให้เข้าสู่โหมด "อยู่กับปัจจุบันให้เป็น" จึงเป็นเรื่องที่ยากอยู่บ้าง
สิ่งนี้ก็ไม่แตกต่างจากการทำอาชีพในโลก เช่น การซื้อขายหุ้น การเก็งกำไร หรือการวางแผนธุรกิจ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ฆราวาสเป็นทางมาแห่งมลทินทางใจ" การทำมาหากินและแสวงหาทรัพย์สินแล้วจะปล่อยวางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีทางทำใจให้เหมือนพระผู้มีหน้าที่ทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งได้ในชีวิตนี้
บางคนอาจจะสงสัยว่า หมอดูไปไหนหลังจากที่ตายแล้ว จะไปสวรรค์หรือนรก หรือว่าทำให้พวกเขาปิดกั้นนิพพานหรือไม่? แต่ทางพระพุทธศาสนากลับยืนยันว่า สิ่งที่ขัดขวางการเข้าถึงสวรรค์และนิพพาน คือการกระทำอนันตริยกรรม ได้แก่ การฆ่าพ่อ การฆ่าแม่ การฆ่าพระอรหันต์ การทำสงฆ์ให้แตกแยก หรือแม้แต่ทำพระพุทธเจ้าให้โลหิตไหล ถ้าคนทำกรรมเหล่านี้สำเร็จแม้แต่เพียงครั้งเดียว บาปนั้นจะหนาถึงขั้นที่จิตไม่สามารถรักษาสติและยึดมั่นในความถูกต้องได้ จึงทำให้ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ หลังตายก็จะตกไปอยู่ในนรกเพียงที่เดียวเท่านั้น
ผมต้องการยกตัวอย่างว่า แม้แต่พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านก็เป็นผู้ทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะและได้ฟันธงว่าเจ้าชายท่านนี้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งแตกต่างจากนักทำนายคนอื่นๆ ที่ยังคงไม่สามารถตัดสินใจได้แน่ชัดว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ในที่สุด
ในที่สุดพระอัญญาโกณฑัญญะได้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์หนึ่งองค์ ซึ่งถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า การเป็นหมอดูไม่ได้ขัดขวางมรรคผลเลย ถ้าหมอดูคนนั้นตั้งมั่นในการให้ธรรมะ และเจริญสติจนเข้าถึงความรู้ที่แท้จริง เราก็ยังสามารถเข้าถึงสวรรค์และนิพพานได้อย่างแน่นอน
คำถามที่เราต้องถามคือ หมอดูที่มีมากมายในสังคมทุกวันนี้ เป็นแค่ผู้ที่หลอกลวงหรือเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจจริง? หรือเป็นหมอดูที่สามารถนำเสนอความรู้และธรรมะจากพุทธศาสนาได้? คุณเองก็อาจจะได้เจอหมอดูทั้งสองประเภท ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของคุณว่าเจอคนประเภทไหน ถ้าคุณเชื่อในกรรมเก่า ก็จะไม่เชื่อในความบังเอิญ และหากศรัทธาในการสร้างกรรมใหม่ ก็จะทำให้ชีวิตคุณมีความหมายมากขึ้น