ในขณะนี้คงมีหลายๆ คนที่สงสัยว่า "พี่รัก พี่ยม" ในละครที่กำลังได้รับความนิยมมีที่มาที่ไปอย่างไร และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในละครนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ วันนี้เราจะพาคุณมาร่วมเปิดเผยตำนานรักยมที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้กันค่ะ

รักยมคือรูปเด็กไม้ที่ถูกแกะสลักให้ยืนกำหมัดคล้ายกำลังทำท่าชกมวย โดยใช้ไม้รักซ้อนในการแกะสลัก ซึ่งบางตำราก็ระบุว่าใช้ต้นไม้หรือรากที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งมักหันไปทางทิศตะวันออก และต้องเป็นรากไม้ที่ตายเองก่อน
ในส่วนของ 'ยม' นั้นแกะจากไม้มะยม ใช้ต้นและรากที่มีลักษณะคล้ายกับรากของรักซ้อน แต่มีสีขาวต่างกัน เมื่อเสร็จสิ้นการแกะสลักแล้ว อาจารย์จะทำพิธีปลุกเสกให้รูปกุมารทั้งสองมีชีวิตชีวา เมื่อปลุกเสกจนเกิดนิมิต ทั้งสองรูปจะเริ่มขยับตัวเหมือนมีชีวิตจิตใจ ผู้ที่ต้องการให้เจ้ารักเจ้ายมช่วยเหลือจะนำทั้งสองรูปไปพร้อมกับน้ำมันหอมแล้วบรรจุไว้ในขวดแก้วเล็กๆ เพื่อพกพาไปทำภารกิจ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็จะจัดเตรียมข้าวปลาอาหารให้ทั้งสองรูปเหมือนเลี้ยงเด็กในบ้าน
การติดต่อสื่อสารกับรักยมต้องทำด้วยตัวผู้ใช้เอง โดยการพูดขอความช่วยเหลือจากรักยมตามความต้องการที่มีอยู่ ซึ่งเรียกว่า "พูดเองเออเอง" เมื่อผู้ใช้ต้องการสิ่งใดจากรักยม ก็จะต้องกล่าวคำขอให้เขาช่วยในกิจนั้นๆ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังต้องคอยดูแลน้ำมันหอมในขวดรักยมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้น้ำมันแห้งหรือลดระดับลง หากน้ำมันเริ่มหมดต้องเติมทันที และน้ำมันนั้นยังสามารถใช้ทาคิ้ว ทาผมเพื่อเสริมเสน่ห์ให้แก่ผู้ใช้ได้ด้วย
ในช่วงที่ต้องออกไปหารากรักและรากมะยมเพื่อใช้ในพิธีการแกะสลักนั้น ท่านจะต้องเดินทางออกจากบ้านในตอนเช้าตรู่ และห้ามพูดกับใครในระหว่างการเดินทาง เมื่อไปถึงต้นรักและมะยมที่ตั้งใจแล้ว จึงจะทำการพลี (ขุดรากและตัดมา) โดยกล่าวว่า เจ้ารัก (ยม) จงไปอยู่กับพ่อ และขอให้ช่วยพ่อให้สำเร็จตามความปรารถนา
"นะมะพะทะอาคัจฉายะ อาคัจฉามิ มานี่มะมามา" เมื่อได้รากรักและรากยมมาแล้ว ท่านต้องวิ่งกลับบ้านโดยไม่มองกลับไปที่ต้นไม้ และเมื่อถึงบ้านจะนำรากรักและยมมาปิดทองคำแผ่นแล้วตั้งไว้กลางบ้าน ก่อนจะทำพิธีบวงสรวงด้วยคาถาและของถวาย จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะนำรากเหล่านั้นไปให้ท่านอาจารย์เพื่อสร้างรักยมต่อไป
มีเรื่องเล่าถึงการเกิดขึ้นของรักยมนี้ตั้งแต่สมัยโบราณ
ในป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญพรตของพระฤาษีผู้มีอายุนับพันปี วันหนึ่งพหลปีติฤาษีออกไปเก็บผลไม้ขณะเดินผ่านสระน้ำที่เต็มไปด้วยบัวสายแดง เขาเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งในน้ำ จึงนำมารับเลี้ยงที่อาศรมของตน หลังจากนั้นกุมารทั้งสองเติบโตขึ้น พหลปีติฤาษีจึงตั้งชื่อให้เขาว่า รัตตะกุมารและยมกะกุมาร
พร้อมกันนั้น พหลปีติฤาษีได้ถ่ายทอดวิทยาคมทั้งหมดให้แก่กุมารทั้งสอง ทั้งสองได้รับการฝึกฝนจนกลายเป็นชายชาติชาตรีที่มีความสามารถ รัตตะกุมารเป็นผู้มีรูปร่างสง่างาม ขณะที่ยมกะกุมารมีทักษะในทางกระบวนยุทธและเวทย์อาคม เมื่อทั้งสองเติบโตขึ้น พวกเขาได้ลาออกจากอาศรมเพื่อไปทำราชการและหาความดีความชอบในเมืองต่างๆ รัตตะกุมารได้เป็นทหารเอก ส่วนยมกะกุมารได้เป็นที่ปรึกษาราชการของแคว้นนั้น
แม้ว่ารัตตะกุมารจะมีรูปร่างที่สง่างามจนเป็นที่สนใจของราชธิดาของพระราชา แต่ความรักระหว่างเขากับเจ้าหญิงกลับเต็มไปด้วยอุปสรรค เนื่องจากเจ้าหญิงถูกหมายหมั้นกับเจ้าชายจากแคว้นอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากัน รัตตะกุมารจึงเกิดความแค้นและวางแผนที่จะฆ่าพระราชาผู้ปฏิเสธความรักของเขา
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก http://www.amulet.in.th