หลายปีที่ผ่านมา เรามักจะได้เห็นเผิงอวี๋เยี่ยน (Eddie Peng) ปรากฏตัวในหลากหลายภาพยนตร์ ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยงานและการสัมภาษณ์ต่างๆ ที่ต้องทำอย่างไม่ขาดสาย เพียงเพื่อโปรโมตผลงานการแสดงของเขา เผิงอวี๋เยี่ยนยังคงแบ่งเวลาให้เราทราบว่า เขาก็แค่ทำงานและโปรโมตไปเรื่อยๆ ภาพยนตร์หนึ่งก็เสร็จ อีกภาพยนตร์หนึ่งก็โปรโมต แล้ววนกลับไปทำเหมือนเดิม
ในอดีต เขาทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะในตอนนั้นตัวเลือกของเขามีเพียงแค่ทางนี้เท่านั้น เขาทุ่มเททำงานอย่างจริงจังมายาวนาน จนถึงปีนี้ที่เขาทำงานในวงการภาพยนตร์มา 10 ปีแล้ว ปีนี้เผิงอวี๋เยี่ยนมีภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดงถึง 6 เรื่อง ผลงานทั้ง 6 เรื่องนี้เขาถ่ายทำเมื่อปีที่ผ่านมา ในความคิดของเขา จำนวนภาพยนตร์ที่เขาทำไม่ได้มีความสำคัญมากนัก แต่ปีนี้เขากลับมีทัศนคติใหม่และบอกว่า เขาเริ่มคิดได้แล้วว่า เขาควรจะให้เวลากับตัวเองบ้าง ใช้ชีวิตมากกว่าทำงาน เขาไม่ต้องการความหรูหราอะไร แค่ได้กินอาหารดีๆ และอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆ ก็พอแล้ว สำหรับการเป็นดารายักษ์ใหญ่และเซเลบชื่อดังนั้นไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเขาเลย
การขึ้นปกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ของเผิงอวี๋เยี่ยนในนิตยสาร GQ ไต้หวัน ตอนนี้เขาทำสถิติขึ้นปกเดียวกับจินเฉิงอู่ (ทาเคชิ คาเนชิโร) และเหลียงเฉาเหว่ย เขากลายเป็นนักแสดงชายเชื้อสายจีนที่ขึ้นปก GQ ไต้หวันบ่อยที่สุดในรอบ 20 ปี วันที่ถ่ายทำตรงกับช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นพอดี ก่อนที่พายุฝนจะมาถึง เขามาถึงกองถ่ายพร้อมรอยยิ้ม และเลือกถ่ายทำที่โรงแรม
สำหรับเผิงอวี๋เยี่ยนที่ต้องถ่ายละครซีรีส์ยาวจนทุกที่กลายเป็นบ้านของเขา โรงแรมจึงกลายเป็นสถานที่ที่มีความหมายพิเศษ หากเราพูดถึงความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดระหว่างบ้านกับโรงแรม เราก็อาจนึกถึงนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Somewhere ที่เปลี่ยนโรงแรมให้เหมือนบ้าน เขาสามารถทำให้ทางเดินกลายเป็นสวนสนุก หรืออ่านหนังสือเงียบๆ ข้างสระว่ายน้ำไปทั้งวัน หรือจะเต้นเดี่ยวตามจังหวะเปียโนที่บาร์ เหมือนอยู่คนเดียวในโลก เผิงอวี๋เยี่ยนเองก็ตอบคำถามเกี่ยวกับโรงแรมว่า “ถ้าบ้านของผมสวยขนาดนี้ล่ะก็แจ่มไปเลย ฮ่าๆๆ”
“ผมเคยพักโรงแรมทุกประเภทมาแล้ว รวมถึงบางที่ที่ไม่เหมือนโรงแรมเลยก็มี เพราะอาชีพนักแสดงทำให้ผมต้องไปทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ เช่น ครั้งหนึ่งที่ต้องถ่ายหนังในสภาพอากาศติดลบหลายวัน จนแทบไม่ได้พักผ่อน แถมถ่ายเสร็จแล้วก็ไม่มีน้ำร้อนให้ใช้ หรือไม่ก็เจอสถานที่ที่สกปรก น่ากลัว แต่ทุกอย่างผ่านมาแล้ว ถ้าผมได้พักในโรงแรมดีๆ ก็จะรู้สึกขอบคุณและให้คุณค่ากับช่วงเวลานั้นจริงๆ”
การดูแลตัวเองในเส้นทางที่ยาวไกล
สำหรับเผิงอวี๋เยี่ยน เขาเคยไปทุกที่ในโลกนี้มาแล้ว ความหมายที่สำคัญที่สุดของโรงแรมสำหรับเขาคือการออกแบบภายใน ซึ่งไม่เกี่ยวว่าโรงแรมจะมีสระว่ายน้ำหรือฟิตเนสหรือไม่ โรงแรมห้าดาวหรือโรงแรมทั่วไปก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง โรงแรมจึงกลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนมักประทับใจจนไม่อยากจากไป แน่นอนว่า ‘คน’ คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ความประทับใจนั้นยาวนาน

“ผมไม่ค่อยชอบให้ใครเข้ามาทำความสะอาดห้อง การเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือผ้าเช็ดตัวทุกวันไม่จำเป็นหรอกครับ แค่ใช้ครั้งเดียวก็พอแล้ว แล้วก็ไม่ต้องใช้น้ำยาฟอกผ้าขาวเยอะขนาดนั้น ซึ่งไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม โรงแรมบางแห่งที่รู้ใจผมจะเลือกใช้ผ้าปูที่นอนที่ไม่ผ่านน้ำยาฟอกขาว และไม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อยๆ บางครั้งพอเข้าห้องพักและเห็นผ้าขนหนูและปลอกหมอนที่ปักชื่อย่อของผมก็รู้สึกอบอุ่นใจดีครับ”
เผิงอวี๋เยี่ยนเหมือนมีบ้านอยู่ทุกที่ ถึงแม้ว่าทุกที่นั้นจะไม่ใช่บ้านของเขาก็ตาม ของใช้ส่วนตัวของเขาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่ไหนที่เขาไป ของใช้ก็ต้องไปด้วย เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว หม้อหุงข้าว เตาอบ หม้อนึ่ง อุปกรณ์ออกกำลังกาย รวมไปถึงอาหารและยาจีนต่างๆ นอกจากนี้ยังมีถ้วยเก็บความร้อนที่เขาเตรียมไปหลายใบ เผิงอวี๋เยี่ยนกล่าวว่า “เมื่อคุณต้องต่อสู้กับโลกภายนอก ของที่เตรียมมาก็ต้องพร้อม การถ่ายทำหนังบางครั้งก็ยาวนานถึง 10-12 ชั่วโมง และไม่ได้หลับไม่ได้พักเลย พอได้เรียนรู้เทคนิคจากรุ่นพี่ และเข้าใจว่าในกองถ่ายไม่ใช่ใครจะมาดูแลเรา เราต้องดูแลตัวเองและรักษานิสัยการออกกำลังกาย เพื่อที่จะทำงานในวงการนี้ไปได้นานๆ”
ความพยายามในเส้นทางการแสดง
ในหลายปีที่ผ่านมา เผิงอวี๋เยี่ยนได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นนำมากมาย เช่นในภาพยนตร์ Rise of the Legend (หวงเฟยหง) เขายกย่องหงจินเป่าเป็นอาจารย์ และยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหลียงเจียฮุย รวมถึงได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับชื่อดังหลายคน เช่น หลิวเชาเสียน และเฉินมู่เซิ่ง เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกในการทำงานร่วมกับนักแสดงระดับเทพ เผิงอวี๋เยี่ยนตอบว่า “มันเหมือนการเล่นบาสเกตบอลครับ อยากแข่งกับคนที่เก่งกว่าเพื่อดึงความสามารถออกมาเต็มที่ ผมได้โอกาสทำงานกับคนเก่งๆ พวกเขาเห็นความสามารถของผมและผมไม่พลาดที่จะคว้ามัน”
เผิงอวี๋เยี่ยนกล่าวว่าเขามักจะทำงานโดยยึดหลักความเป็นจริง นักแสดงสำหรับเขาไม่เพียงแค่เป็นอาชีพ แต่ยังเป็นความหลงใหลส่วนตัวด้วย หากจะพูดให้ชัดเจนที่สุด ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นล้วนทำเพื่อชีวิตของตัวเอง เขารักกองถ่ายภาพยนตร์มาก และบ่อยครั้งเขาก็สอนตัวเองให้รับงานที่ท้าทายและไม่เคยทำมาก่อน เขาทำละครมาเยอะแล้ว จึงต้องการลองแสดงบทแอ็กชั่นบ้าง ซึ่งเขาคิดว่าวิธีนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถและเทคนิคการแสดงที่หลากหลายมากขึ้น เปรียบเสมือนกับการมีอาวุธเพิ่มเติมไว้ใช้ในการต่อสู้
“ทุกคนบอกว่าการถ่ายหนังมันเหนื่อย ใครไม่เหนื่อยบ้าง คุณเป็นนักแสดงทำไมถึงจะไม่เหนื่อยล่ะครับ ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยจนเกินไปหรอก ขอแค่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและทีมงานที่ยอดเยี่ยม มีบทที่ท้าทาย ผมก็พร้อมที่จะตอบตกลงเสมอครับ”
“โจวเหวินฟะแสดงหนังมา 40 ปี เหลียงเจียฮุยแสดงหนังมา 30 ปี คุณลองดูสิ รุ่นพี่เหล่านี้ถึงแม้ว่าจะมีอายุแล้วก็ยังคงถ่ายหนังต่อไป เราได้เห็นการพัฒนาของวงการหนังจากรุ่นพี่เหล่านี้ ก่อนพวกเขาจะมีชื่อเสียง หนังฮ่องกงยังไม่มีคำนี้จริงๆ พวกเขาคือผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์ฮ่องกงที่เรารู้จักกันในวันนี้ และยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน หากพูดถึงนักแสดงที่มีเทคนิคสุดยอดแบบรุ่นพี่ พี่หงจินเป่าก็เป็นคนที่กำกับหนังไปมากกว่าร้อยเรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เว้นแต่ผมจะเป็นอัจฉริยะไม่งั้นก็ต้องฝึกฝนให้เก่งขึ้น”

บางครั้งเผิงอวี๋เยี่ยนบอกว่าเขารักการแสดง แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำ ผลงานของเขาครอบคลุมหลายแนวไม่ว่าจะเป็นแอ็กชั่น, แฟนตาซี, โรแมนติก และหนังตำรวจจับผู้ร้าย เผิงอวี๋เยี่ยนกล่าวว่าเขามีความสุขมากที่ได้รับโอกาสแสดงในบทที่ดี และได้ร่วมงานกับทีมงานที่มีคุณภาพ “ผมอยากแสดงในหนังทุกประเภทเลยครับ แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ยังคงติดกับหนังฮอลลีวูด ทำให้วงการหนังในเอเชียไม่สามารถเติบโตได้เต็มที่ หากนักแสดงคนไหนสามารถทำให้คนออกจากบ้านไปดูหนัง หรือทำให้ผู้ชมมีความรักในหนัง ก็ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่”
เราถามเผิงอวี๋เยี่ยนถึงการได้รับรางวัล ซึ่งเป็นคำถามที่คนถามเขาบ่อยๆ เขาตอบว่า “สำหรับผมแล้วรางวัลยังคงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างไกลตัว ตอนนี้ผมยังมีเป้าหมายที่ต้องไขว่คว้าอยู่ ทุกวันนี้ผมอาจจะไม่ได้รางวัลจากการถ่ายหนัง แต่สิ่งที่ผมทำได้คือทำให้ผู้คนไปชมภาพยนตร์ ผมเห็นรุ่นพี่ทุ่มเททั้งเวลาและชีวิตให้กับวงการภาพยนตร์ แล้วพวกเขาก็ยังคงไม่หยุดแสดง ทำไมผมจะต้องหยุดแสดงล่ะครับ”
ช่วงเวลาทำลายสถิติเทค
ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Call of Heroes เผิงอวี๋เยี่ยนได้รับบทบาทที่ท้าทายอย่างมากเมื่อเขาต้องรับบทบู๊และวรยุทธ์สูงส่ง ขี่ม้า ‘ไท่ผิง’ ทะยานผ่านสนามรบ จนเข้าไปพัวพันกับวิกฤติในเมือง บทบาทของเขาจึงเปลี่ยนจากคนทั่วไปที่ไม่มีอะไรมากมาย เป็นวีรบุรุษที่ยืนถือดาบเพื่อช่วยเหลือผู้คน ฉากแอ็กชันที่ต้องใช้สลิงในหนังย้อนยุคนี้ทำให้ต้องถ่ายทำหลายครั้งเพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด โดยมีเทคมากถึง 53 ครั้ง ซึ่งทำลายสถิติเดิมที่เขาทำไว้จากฉากกระโดดจากชั้นสองที่ต้องถ่ายไปถึง 36 เทค “ถ้าฝึกไม่ดีฉากนี้อาจจะต้องถ่ายทั้งอาทิตย์เลยก็ได้ แต่ยังไงก็ยังโดนผู้กำกับหงจินเป่าหัวเราะใส่ เพราะต้องถ่ายทำไป 53 เทคถึงจะผ่าน”
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เผิงอวี๋เยี่ยนได้โอกาสสวมหนวดและชุดโบราณในสไตล์ย้อนยุค เขาบอกว่าในอดีตเวลาทำละครทีวี เขาสามารถเล่นได้ทุกบทบาททั้งมุกตลกและบทติงต๊อง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบทที่สมเหตุสมผลและทำให้คนดูมีความสุข อย่างไรก็ตามการติดหนวดปลอมที่ต้องใช้เวลานานถึงสองชั่วโมง รวมไปถึงการใส่หมวกโบราณและชุดผ้าที่หนักเกินไปในสภาพอากาศร้อนอบอ้าว พร้อมกับการต้องใช้สลิงในบางฉาก ถือเป็นความท้าทายมากๆ “ถ่ายหนังแค่วันเดียวก็ผอมลงหลายกิโลแล้ว เหงื่อออกเยอะมากเพราะอากาศร้อนเกินไป”
หลังจากเหงื่อไหลหนวดปลอมก็หลุดไป ทำให้ช่างแต่งหน้าต้องใช้กาวติดหนวดใหม่ หนังเรื่องหนึ่งใช้เวลาถ่ายทำจริงๆ ประมาณสามถึงสี่เดือนหลังจากนั้น “ถ่ายหนังเสร็จแล้วบอกเลยว่าไม่อยากถ่ายหนังที่ต้องติดหนวดปลอมอีกแล้ว แต่นั่นแหละไม่นานก็ได้งานใหม่ในหนังเรื่อง ไซอิ๋ว เล่นบทหงอคงซะอีก! (หนักกว่าติดหนวดอีก)”
ทุกวันช่างแต่งหน้าต้องใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงในการเนรมิตให้เผิงอวี๋เยี่ยนกลายเป็นลิงซุนหงอคง แล้วหลังจากถ่ายทำเสร็จต้องใช้เวลาอีกสองชั่วโมงในการล้างเครื่องสำอางออก หลังจากการถ่ายทำเรื่องไซอิ๋ว เขาก็รับงานในภาพยนตร์เรื่อง Operation Mekong ซึ่งต้องติดหนวดปลอมอีก เผิงอวี๋เยี่ยนได้แต่หัวเราะและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พูดอะไรซี้ซั้ว “ถึงแม้จะเหนื่อยมากจนสุดๆ แต่เมื่อเห็นผลงานออกมาแล้วรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากๆ นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมเราถึงยอมรับงานหนังที่ต้องใส่เอฟเฟกต์เยอะๆ พอเห็นผลงานสุดท้ายมันก็ช่างคุ้มค่า ส่วนคนดูจะชอบหรือไม่นั้นก็เรื่องของคนดู แต่สำหรับเรา การได้ถ่ายทำหนังแบบนี้มันคุ้มค่าแล้ว แถมยังได้เล่นเป็นลิงด้วย”
ใช้เวลาหลายปีถึงจะปล่อยวางได้
หลายปีที่ผ่านมา เผิงอวี๋เยี่ยนทุ่มเททำงานหนักไม่หยุด ไม่เคยหยุดพักหรือลังเลในการรับงาน เนื่องจากเขาเคยผ่านช่วงเวลาที่ลำบากมาแล้ว พอมีโอกาสก็ไม่ลังเลที่จะคว้ามัน ผลงานที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยก็ได้ถูกเผยแพร่ให้เราได้ชมกัน ตอนนี้เขากลายเป็นนักแสดงยอดฮิตในไต้หวัน จีน และฮ่องกง รวมทั้งเป็นนักแสดงที่ขยันที่สุด ชื่อเสียงที่เขามีในวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากความพยายามที่เขาทำมาตลอดหลายปี โดยไม่เคยท้อถอย ในเส้นทางที่เขาเดิน เขาต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ จนไม่กล้าที่จะปล่อยวางหรือหยุดพักเลย “หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าเมื่อผมปล่อยตัวเอง มันเหมือนกับการทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง”
เมื่อปีที่แล้ว จู่ๆ หนุ่มนักสู้คนนี้ก็เปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหัน “ทั้งปีที่แล้ว เวลาส่วนใหญ่ของผมทุ่มเทไปกับการถ่ายทำ ผมไม่สามารถจำได้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือผมเริ่มรู้สึกว่าถ่ายหนังเก่งขึ้นแล้ว จนสามารถจัดสรรเวลาไปอยู่กับที่บ้านได้ พอมาคิดๆ ดูแล้วก็เลยทำทันที ถ้าผมรอจนเลิกเป็นนักแสดงแล้ว คงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกแล้ว จริงๆ เวลาที่เอาไปถ่ายหนังมันเสียไปเยอะเหมือนกัน เพราะเวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดจริงๆ”
เวลาที่เขาออกไปทำงานต่างประเทศ เผิงอวี๋เยี่ยนมักจะออกจากโรงแรมไปเดินเล่นดูบรรยากาศ และทำสิ่งที่เขาชอบที่สุดคือมองผู้คน เมื่อก่อนเขาชอบเดิน แต่ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นขี่จักรยาน บางครั้งเขาก็เอาจักรยานติดตัวไปต่างประเทศด้วย “เพราะเวลาที่ต่างกัน ผมเลยต้องตื่นเช้ามากๆ ข้อดีของการขี่จักรยานคือมันช่วยให้สำรวจเมืองได้เร็วขึ้น เจอใครรู้จักหรือแฟนคลับ ทักทายสักพักก็แยกกันไป คนจะมารบกวนเราได้น้อยกว่าการเดินเยอะ เพราะตอนขี่จักรยานใช่ไหมล่ะ” ถ้าบังเอิญมีคนขอถ่ายรูปล่ะ “ถ้าเขาอยากถ่ายรูปกับผม ก็ถ่ายไปเลยครับ จริงๆ ผมก็เคยถ่ายรูปในชุดขี่จักรยานมาแล้ว ฮ่าๆๆ”
หลายเดือนก่อน เผิงอวี๋เยี่ยนไปถ่ายโฆษณาที่ปารีส ในระหว่างที่เขากับทีมงานขี่จักรยานชมเมือง เขาก็ไปเจองาน Music Day ซึ่งเป็นงานที่มีการแสดงร้องเพลง เต้นรำ และการแสดงอื่นๆ เขาขี่จักรยานดูงานนี้ไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่จบ พอเขาไปนิวยอร์กก็แวะไปดูการแสดง Sleep No More ซึ่งเป็นการนำบทประพันธ์เรื่องแมคเบธของเชกสเปียร์มาทำใหม่ โดยผสมผสานให้เป็นการแสดงรูปแบบใหม่ เผิงอวี๋เยี่ยนวิ่งตามนักแสดงไปตลอด และคอยดูการแสดงของพวกเขาอย่างละเอียด “การแสดงเหล่านี้เป็นการแสดงมืออาชีพที่พิเศษมาก นักแสดงสามารถแสดงบทของตัวเองได้เต็มที่โดยไม่ถูกอิทธิพลจากภายนอก และยังมีปฏิสัมพันธ์กับคนดูด้วย มันน่าสนใจมาก ผมดูพวกเขาแสดงอย่างละเอียด เพราะอาจจะเจอเทคนิคที่สามารถเอามาใช้ตอนถ่ายหนัง และนำไปคุยกับผู้กำกับได้”

“ตอนนี้มีเวลาว่างก็อยากพักผ่อนให้เต็มที่ เปิดหูเปิดตาให้มากขึ้น ชีวิตต้องมีสมดุล ไม่งั้นมันจะเกินเลยไป” เขาไม่เพียงแต่คิดถึงเรื่องเวลาและการมีชีวิตที่สงบมากขึ้นเท่านั้น แต่เขายังยอมรับเรื่องรูปร่างที่เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เผิงอวี๋เยี่ยนกำลังสนุกกับการกินสเต็กแซลมอนและข้าวมันไก่ไหหลำ แต่เวลาที่เขากินก็ยังคงกินได้แค่ครึ่งเดียว “ตอนนี้ผมค่อนข้างชิล ไม่ต้องถอดเสื้อแสดงหนังแล้ว แค่เล่นปกติก็พอ ในที่สุดผมก็หลุดจากบทบาทหนังรัก ตอนนี้กลับมาใส่เสื้อผ้าได้แล้ว ฮ่าๆๆ”
วิธีเอาตัวรอดของนักแสดงในยุคโซเชียลมีเดีย
ตอนนี้หลายๆ คนในโลกออนไลน์ไม่ใช่คนดีเสมอไป บางครั้งถ้าใจไม่แข็งพอ คอมเมนต์รุนแรงบนเน็ตก็อาจทำให้เสียศูนย์ได้ “คุณเคยทนกระแสชาวเน็ตไม่ได้บ้างไหม” เขาตอบว่า “ผมก็อ่านบ้าง แต่จะปล่อยผ่านไป ไม่ใส่ใจ เพราะทุกคนสามารถวิจารณ์ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลองถามตัวเองว่าเราทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุดหรือยัง และนักแสดงคนอื่นๆ ทำเต็มที่หรือเปล่า ถ้าผมทำดีที่สุดแล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก ถ้ามีโอกาสก็จะแสดงให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ อย่าไปสนใจคำวิจารณ์มากนัก การใช้ชีวิตภายใต้คำวิจารณ์มันเหนื่อยมากจริงๆ”
เผิงอวี๋เยี่ยนกล่าวว่าในการทำงานเขาทุ่มเทเต็มที่ หลังจากเลิกงานก็จะไม่คิดอะไรต่อเลย เขาจะไปเที่ยวพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับงานถัดไป สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือความสุขจากการทำงาน “สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลาถ่ายหนังคือการเลือกงานที่เรารัก ถ้าเป็นเรื่องที่เราชอบ ต่อให้การถ่ายทำจะยากแค่ไหน เราก็ยังมีความสุข และสามารถทนรอได้ว่าเมื่อเสร็จงานแล้วจะออกมาเป็นอย่างไร เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว”
หลายคนสงสัยว่าเผิงอวี๋เยี่ยนมีความฝันอยากเป็นผู้กำกับหรือไม่ เขาบอกว่า “ผมไม่เคยคิดอยากเป็นผู้กำกับ แต่ชอบบรรยากาศของกองถ่าย และเรียนรู้เทคนิคการถ่ายทำจากผู้กำกับที่ผมชื่นชอบ เช่น หลินเชาเสียน หลินอวี้เสียน และหงจินเป่า ผมดูวิธีการกำกับหนังแอ็กชั่นของพวกเขาและพบว่ามีสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้มากมาย” หลังจากที่ได้เรียนรู้แล้ว เขาก็สามารถแสดงได้อย่างเต็มที่และสบายใจมากขึ้น
“ตอนนี้การเป็นนักแสดงคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด สิ่งเดียวที่ผมต้องทำคือการทำหน้าที่ของนักแสดงให้ดีที่สุด” เผิงอวี๋เยี่ยนมั่นใจและผ่อนคลายเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไรและมีอะไรที่จะต้องทำต่อไป ตอนนี้เขามีหนังหลายเรื่องที่รอให้เขาแสดง ในใจของเผิงอวี๋เยี่ยนชัดเจนแล้วว่าเขาจะทำงานแสดงต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่างานนักแสดงจะหนักหนาสักแค่ไหน สุดท้ายเขาก็จะกลับมาดำเนินชีวิตอย่างคนธรรมดา
ที่มา - GQ Thailand
www.gqthailand.com