“ถ้าทำสิ่งที่คนอื่นทำแล้วไม่มีความแตกต่าง ผมมองว่าเป็นความเสี่ยง แต่ถ้าทำสิ่งที่มีแค่หนึ่งเดียวกลับเสี่ยงน้อยกว่า!!” คำพูดนี้สะท้อนทัศนคติที่คิดล้ำหน้า และเป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังความสำเร็จในช่วงเวลาสั้นๆ ของ ‘สรพจน์ เตชะไกรศรี’ ซีอีโอหนุ่มไฟแรงแห่งเพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่นฯ ทายาทคนกลางของเจ้าแม่อสังหาฯยักษ์ใหญ่ LPN ‘ยุพา เตชะไกรศรี’ ที่ตอนนี้กำลังได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะเขาคือผู้สร้างตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศไทย ‘มหานคร’ ซึ่งมีความสูงถึง 314 เมตร และกำลังจะกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของกรุงเทพฯ ที่เทียบชั้นกับมหานครใหญ่ทั่วโลก
ทำไมถึงเลือกที่จะเริ่มธุรกิจของตัวเอง แทนที่จะช่วยคุณแม่สานต่อ LPN
ผมอยากทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผมหลงใหลในเรื่องสถาปัตยกรรมและการออกแบบ ซึ่ง LPN เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่เน้นตลาดแมส และไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ จึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจของตัวเอง เปิดเพซเมื่ออายุ 26-27 ปี และเริ่มทำโครงการแรกด้วยเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สร้างคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ในซอยสุขุมวิท ชื่อว่า “ไฟคัส เลน” ต่อมาสร้างตึก 25 ชั้นในซอยศาลาแดง 1 ชื่อว่า “ศาลาแดง เรสซิเดนเซส” จริงๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจทำไฮเอนด์ แต่เนื่องจากการออกแบบที่ละเอียดและไม่เคยมีในตลาด เราจึงเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง จนกลายเป็นโปรเจกต์ไฮเอนด์ไปโดยอัตโนมัติ และได้รับการตอบรับดีมาก

ตอนประกาศจะสร้าง ‘มหานคร’ ให้เป็นตึกสูงที่สุดในไทย ความฮือฮามีขนาดไหน
ในปี 2008 ผมได้ประกาศโปรเจกต์สร้าง ‘มหานคร’ ด้วยเงินลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท โดยตั้งใจสร้างตึกสูงที่สุดในประเทศไทย ที่มีความสูงถึง 314 เมตร ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ทำให้เกิดกระแสฮือฮาอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความสูงที่ทำลายสถิติ และสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาอย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ตึกสูงระฟ้านี้ล้อมรอบด้วยพิกเซลสามมิติ นอกจากนี้ยังเป็นโครงการอสังหาฯระดับไฮเอนด์แห่งแรกที่สร้างในรูปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ระดับโลก ประกอบไปด้วยที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่อย่าง ‘เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก’, บูติคโฮเต็ลดัง ‘เอดิชั่น’, จุดชมวิว 360 องศาบนชั้น 77 ที่ความสูง 314 เมตร และ ‘มหานคร คิวบ์’ อาคารไลฟ์สไตล์รีเทล 7 ชั้น รวมร้านอาหารระดับโลกที่ไม่เคยมีในไทยมาก่อน เช่น ‘ลัตเตอลิเย เดอ โจเอล โรบูชง’ ร้านอาหารที่มีมิชลินสตาร์มากที่สุดในโลก รวมทั้ง ‘โว้ก เลาจน์’ และ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’
คุณแม่เคยเตือนบ้างไหม ว่าคิดใหญ่เกินไปหรือเปล่าลูก
เมื่อผมบอกที่บ้านว่าจะสร้างตึกสูงที่สุดในประเทศ ก็มีเสียงเตือนจากคุณแม่ทันที!! ผมรู้ดีว่ามันจะยากและไม่ง่าย แต่อยากทำเลยทำ เมื่อคุณแม่ฟังแล้วบอกแค่ว่า ถ้าตั้งใจจะทำจริงๆ ก็ต้องทำให้สำเร็จนะ เพราะ LPN ของเราไม่เคยสร้างตึกไม่เสร็จ อย่าให้เสียชื่อแม่เด็ดขาด!! ผมปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ตลอด และถึงจะมีปัญหาหลายอย่าง แต่สุดท้ายเราก็สามารถหาทางออกได้ เพราะเราตั้งใจจริง ใช้ของดีจริง โลเคชั่นดีจริง และราคาเหมาะสม จึงมีลูกค้าตอบรับดี

อะไรคืออุปสรรคใหญ่ที่สุดที่ทำให้โครงการช้ากว่าที่คาด
ในช่วงที่ทำโครงการนี้ ผมเจอคำพูดเยาะเย้ยมากมาย ว่าจะสร้างตึกไม่เสร็จหรอก เพราะตึกมันยาก และไม่มีเงินทุนพอ มีกระแสลบมามากมาย! ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอก ผมว่าขายหมดไปตั้งนานแล้ว และไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนี้ เราต้องเจอปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในและภายนอก ตอนเปิดโครงการใหม่ๆ ผมมีพาร์ตเนอร์ต่างชาติ แต่พอเปิดตัวก็เจอกับวิกฤติซับไพรม์ในอเมริกา พอปี 2010 เปิดห้องตัวอย่างก็ใช้เงินไปกว่า 200 ล้าน แต่คืนแรกก็ขายได้เกือบ 50% ต่อมาสถานการณ์แย่ลง เมื่อเกิดเหตุการณ์เผาเซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้คนเริ่มยกเลิกห้องเกือบ 99% แล้วปี 2011 น้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศก็เกิดขึ้น คนเริ่มยกเลิกห้องไปอีก แต่ในปี 2012 เกิดวิกฤติการเงินในยุโรป ทำให้โครงการล่าช้าไปปีครึ่ง แต่โชคดีที่สามปีที่ผ่านมา เรานำบริษัทเพซเข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงขยายการลงทุนไปในหลายๆ ด้าน
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณจะเปลี่ยนใจไปทำสิ่งอื่นที่ง่ายกว่ามั้ย?
ตอนนั้นผมยังมีประสบการณ์น้อย พอเห็นที่ดินและศึกษาว่าสามารถสร้างตึกสูงได้ ผมก็ลงมือทำเลยโดยไม่รู้ว่าจะมีความยากลำบากตามมา มาคิดตอนนี้ ถ้าเลือกทำตึกธรรมดาขนาด 30 ชั้น 2-3 อาคาร บนที่ดิน 10 ไร่ ใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้าบีทีเอส คงขายหมดภายในปีเดียว แต่ผมไม่ชอบแบบนั้น! สไตล์ของผมคือชอบทำอะไรที่ไม่เหมือนใคร ทำง่ายๆผมก็ทำได้ แต่ผมอยากทำสิ่งที่เมื่อเสร็จแล้วจะภูมิใจในผลงาน ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จ ผมเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กและคิดมาตลอดว่า เวลาพูดถึงเมืองไทย คนมักจะไม่รู้จัก หรือเข้าใจผิดคิดว่าไทยแลนด์คือไต้หวัน ผมเลยอยากสร้างสิ่งที่เป็นแลนด์มาร์ค แทนสัญลักษณ์ความเจริญทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ที่ต่างชาติเห็นแล้วต้องรู้จักทันที ซีเอ็นเอ็นถ่ายเมืองไทยก็จะถ่ายวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรม แต่เมืองไทยไม่มีสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเจริญทางเศรษฐกิจ ทั้งที่ไทยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน ผมเลยตัดสินใจสร้างตึกสูงที่เป็นแลนด์มาร์คแทน สร้างสิ่งที่ต่างจากประเทศอื่นที่รัฐบาลจะลงทุน แต่ที่ไทยไม่มีแผนทำตึกสูงแบบนี้ เราก็ลุยเอง

สิ่งที่ฝันไว้มานานเป็นจริงแล้ว รู้สึกโล่งใจแค่ไหน?
อย่างที่บอก ผมโดนสบประมาทไว้เยอะ แต่ตอนนี้ ‘มหานคร’ สร้างเสร็จจริงๆ และปลายเดือนนี้จะเปิดโครงการอย่างเป็นทางการ อีกแค่ 3 เดือนก็เข้าอยู่ได้แล้ว ถึงแม้จะมีคนพูดเยอะ แต่ดีกว่าไม่มีใครพูดถึงเลย เราพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเราทำได้ จากที่คนคิดว่าไม่น่าจะเสร็จ แต่สุดท้ายก็สำเร็จ และมันก็เป็นการพิสูจน์ตัวเองที่เราสร้างตึกสูงที่สุดในไทยได้สำเร็จ!
ถามจริงๆ เคยคิดจะถอดใจยอมแพ้ไหม?
ถ้าพูดถึงการถอดใจ ผมคงไม่ใช่คนแบบนั้น! แม้ว่าจะเจออุปสรรคมากมายที่ทำให้รู้สึกว่าจะผ่านไม่ได้ แต่มีหลายปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ อย่างเรื่องแบงก์ก็เป็นห่วงบ้าง แต่เมื่อเริ่มทำไปแล้วก็ต้องลุยให้เสร็จ ไม่งั้นจะเสียชื่อ ในที่สุดผมก็ภูมิใจที่โครงการเสร็จสมบูรณ์และคุณภาพงานก็ยอดเยี่ยมมาก ทำให้เราได้รับฟีดแบ็กดีจากลูกค้า ลูกค้าทุกคนเชื่อมั่นในแบรนด์ของเรา จากนี้ไป ไม่ว่าจะไปทำโครงการไหนก็จะขายหมดแน่นอน ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา แม้จะดูเหมือนเสียเวลาไปบ้าง แต่จริงๆ แล้ว เราก็ได้ทำโครงการใหญ่ๆ ออกมาอีกหลายโครงการ
โครงการมหานครยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่กลัวเหรอครับ จะเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นเพิ่ม?
ผมไม่เคยอยู่นิ่งเลย ขณะที่กำลังก่อสร้างโครงการมหานคร ผมก็ไปทำโครงการคอนโดฯไฮเอนด์ที่ติดสวนลุมชื่อว่า ‘นิมิต หลังสวน’ ซึ่งขายหมดภายใน 3 วัน และยังไปเปิดโครงการใหญ่ที่หัวหินอีกแห่ง ชื่อว่า ‘มหาสมุทร’ เป็นไพรเวทคันทรีคลับและลักชัวรี่วิลล่า พร้อมกับทะเลมนุษย์สร้างใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ที่ดินริมทะเลหัวหินราคาค่อนข้างสูง เลยค้นคว้าหาข้อมูลจนทำให้สามารถสร้างหาดส่วนตัวและทะเลส่วนตัวขึ้นเองได้

โครงการมหานครตอนนี้ขายหมดหรือยัง? ได้รับเสียงตอบรับดีแค่ไหน?
ในส่วนของ ‘เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส’ ตอนนี้เราขายไปแล้ว 70% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติ ราคาเริ่มต้นที่ 125 ตารางเมตร ขนาด 2 ห้องนอน เราขายที่ตารางเมตรละ 300,000 บาท ราคาห้องละประมาณ 35-45 ล้านบาท ถ้าเป็น 3 ห้องนอน ราคาก็จะอยู่ที่ 50-70 ล้านบาท ส่วนห้องแพนท์เฮาส์ที่ราคาแพงสุดนั้นมีราคากว่า 300 ล้านบาท โดยตอนนี้เราขายไปแล้ว 3 ห้องจาก 4 ห้อง โดยมีลูกค้าคนหนึ่งจากดูไบที่ซื้อไป 2 ชั้น รวมแล้วราคา 500 กว่าล้านบาท อีกคนเป็นเศรษฐีฝรั่ง ส่วนลูกค้าของเรามีทั้งจากสิงคโปร์และฮ่องกง โดยห้องใหญ่ๆ มักจะเป็นลูกค้าจากยุโรป เช่น สวิส เยอรมนี และฝรั่งเศส ส่วนคนไทยที่ซื้อมีประมาณ 20%
ทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ในอีก 10 ปีข้างหน้า เมื่อดอกเบี้ยลดลง คนจะมีแนวโน้มที่จะลงทุนในอสังหาฯมากขึ้น เพราะการฝากเงินในธนาคารไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ โครงการอสังหาฯในอนาคตจะต้องหลากหลายมากกว่าการทำคอนโดฯ เพียงอย่างเดียว มันต้องเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่รวมทั้งคอนโดฯ โรงแรม และร้านอาหารระดับพรีเมียม อย่างโครงการของผมที่ลงทุนไปกว่า 200 ล้าน และถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่คุ้มทุนในระยะสั้น แต่เราเลือกทำโครงการใหญ่ที่มีหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะร้านอาหารที่เราทำอย่างจริงจัง เพื่อให้มันแตกต่างจากคนอื่น แม้ว่าจะดูเหมือนเสี่ยง แต่ผมเชื่อว่าการทำอะไรที่ไม่เหมือนใครนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่า ถ้าทำในสิ่งที่คนอื่นทำกันทั้งนั้น ผมคงไม่ทำแน่นอน

ในอนาคตเราจะมีการคิดโปรเจกต์ใหญ่ๆ อะไรอีกหรือไม่
(ยิ้ม) เมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งซื้อกิจการทั้งหมดของ 'ดีน แอนด์ เดลูก้า' จากมหาเศรษฐีนิวยอร์ก ด้วยการลงทุนสูงถึง 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท เพราะผมเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานถึง 40 ปี ผมคำนวณดูแล้วว่ามันจะเป็นธุรกิจหลักของเราในอนาคต และด้วยจำนวนสาขาในอเมริกาที่มีเพียง 10 กว่าแห่ง ขณะที่สตาร์บัคส์มีถึงหมื่นสาขา ถ้าเราได้ส่วนแบ่งตลาดเพียงแค่ 10% ก็เพียงพอแล้ว ผมฝันอยากเป็นคนไทยคนแรกที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และกำลังตั้งใจทำให้สำเร็จใน 2-3 ปีข้างหน้า
ทีมข่าวหน้าสตรี