หาก “สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย” ทรงเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษที่มีการครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว “สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถแคทเธอรีนที่สองแห่งรัสเซีย” ก็ทรงเป็นตำนานของการสร้างจักรวรรดิรัสเซียในยุคที่รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ความยิ่งใหญ่ของ “รัสเซีย” ที่มีอิทธิพลในอดีตยังคงส่งผลถึงปัจจุบัน ทั้งการปกครองโดยสถาบันกษัตริย์ การเมือง พลเมือง และศิลปวัฒนธรรม ต่างได้ปั้นแต่งอาณาจักรแห่งนี้ให้ยิ่งใหญ่ เพื่อส่งเสริมความรู้ทางประวัติศาสตร์และให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ “เดอะวิสดอม กสิกรไทย” จัดกิจกรรม “THE WISDOM Exclusive Experience : The Royal Journey to Russia” เพื่อนำทุกท่านย้อนเวลาสู่ยุคราชวงศ์โรมานอฟที่ปกครองติดต่อกันกว่า 300 ปี

ในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิรัสเซีย มีเพียงสองพระองค์จากราชวงศ์โรมานอฟที่ทรงมีบทบาทสำคัญ คือ “พระเจ้าปีเตอร์มหาราช” ผู้สร้างรัสเซียให้ยิ่งใหญ่ และ “แคทเธอรีนมหาราชินี” มหาราชสตรีองค์แรกที่ไม่เกิดในรัสเซีย แต่ทรงเป็นที่รู้จักทั่วโลกและทรงครองราชย์ยาวนานถึง 34 ปี พระองค์ขึ้นครองราชย์หลังการปฏิวัติรัฐประหารในวันที่ 9 กรกฎาคม 1762 และได้ปฏิรูปและขยายอาณาจักรจนกว้างใหญ่กว่าเดิม นับเป็นการสร้างรากฐานสำคัญให้รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจในปัจจุบัน

ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ในฐานะพระจักรพรรดิแห่งรัสเซีย “สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถแคทเธอรีนที่สอง” ทรงมีพระนามเดิมว่า “โซฟี ฟรีเดริค ออกุสเทอ ฟอน อัน-ฮัลท์-แซร์บส์ต” เป็นเจ้าหญิงจากเยอรมนี โดยมีเชื้อสายจากราชวงศ์อัน-ฮัลท์-แซร์บส์ต พระองค์ได้รับการส่งตัวไปยังรัสเซียเพื่ออภิเษกสมรสกับเจ้าชายปีเตอร์แห่งฮอลชไตน์-ก็อททร็อร์พ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์ การอภิเษกสมรสนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถเอลิซาเบธแห่งรัสเซีย เนื่องจากทรงเห็นความสามารถของเจ้าหญิงโซฟีในการดำรงพระองค์

ตลอดช่วงเวลาที่เจ้าหญิงโซฟีและพระสวามี “เจ้าชายปีเตอร์ ดยุคแห่งฮอลชไตน์-ก็อททร็อร์พ” ได้สมรสกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้ราบรื่นนักและเต็มไปด้วยความห่างเหิน แม้กระทั่งหลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถเอลิซาเบธเสด็จสวรรคต และเจ้าชายปีเตอร์ขึ้นเสวยราชบัลลังก์เป็น “สมเด็จพระเจ้าซาร์ปีเตอร์ที่สาม” ทรงปกครองได้เพียง 6 เดือน ก็ถูกทหารก่อการกบฏยึดอำนาจไป จากนั้นอีกเพียง 8 วันหลังการรัฐประหาร พระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์ที่พระราชวังร็อบชา โดยอเล็กเซ ออร์ลอฟ ทหารคนสนิทที่ร่วมการกบฏกับพระจักรพรรดิ นีนาถ แม้จะยังคงมีการถกเถียงว่า พระนางแคทเธอรีนมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าซาร์ปีเตอร์ที่สาม ทำให้พระนางแคทเธอรีนได้ขึ้นครองราชย์เป็น “สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถแห่งรัสเซีย” แม้ไม่สืบเชื้อสายตรงจากราชวงศ์รัสเซีย


ในช่วงเวลาที่พระนางแคทเธอรีนมหาราชินีครองราชย์ตั้งแต่ปี 1762 ถึง 1796 เป็นช่วงเวลาทองของจักรวรรดิรัสเซียและระบบศักดินาในรัสเซีย โดยพระนางทรงเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นอภิมหาอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป นอกจากการเสริมสร้างความเกรียงไกรให้แก่จักรวรรดิแล้ว พระนางยังทรงดำเนินการปฏิรูปประเทศ บูรณะวังหลายแห่งในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และให้การสนับสนุนศิลปะ, วรรณกรรม และการศึกษา พระนางยังทรงเขียนบันเทิงคดี, นวนิยาย และบันทึกความทรงจำมากมาย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคเรืองปัญญาของรัสเซีย


เรื่องราวความรักของพระนางแคทเธอรีนเต็มไปด้วยสีสัน มีข่าวลือว่าพระองค์ทรงมีชู้รักถึง 12 คน ซึ่งทุกคนล้วนมีตำแหน่งสำคัญ และพระนางมักใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้เพื่อเสริมสร้างอำนาจและรักษาบัลลังก์ ส่วนคนที่จงรักภักดีที่สุดคือ “กริ-กอรี ออร์โลฟ” และเจ้าชายที่พระนางรักมากที่สุดคือ “กริกอรี โปเตมคิน” หลังจากที่พระนางเสด็จสวรรคต รัสเซียก็ไม่เคยมีราชินีอีกเลย เนื่องจากพระราชโอรส เจ้าปัญหาคือ “แกรนด์ดยุคพอล” ขึ้นครองราชย์เป็นซาร์องค์ใหม่ โดยที่เขามีความเกลียดชังพระมารดา จึงได้เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลห้ามสตรีครองราชย์

หนึ่งในสถานที่ที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับพระนางแคทเธอรีนมหาราชินีคือ พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ และพระราชวังฤดูหนาว พระราชวังที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถเอลิซาเบธ แต่พระองค์เสด็จสวรรคตก่อนจะได้ประทับพระราชวังนี้ จึงกลายเป็นที่ประทับของพระนางแคทเธอรีน พระราชวังแห่งนี้มี 3 ชั้นและทาด้วยสีฟ้า ซึ่งเป็นสีที่พระนางโปรดปราน และตัดขอบประตูหน้าต่างด้วยสีขาวโดดเด่น พระนางตั้งชื่อพระราชวังนี้ว่า Hermitage หมายถึงที่ปลดปล่อยอารมณ์เดียวดาย

ในปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจแห่งนี้เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญของรัสเซีย โดยมีการสะสมผลงานศิลปะมากกว่า 2.7 ล้านชิ้น รวมถึงของสะสมและสมบัติที่ทรงสะสมไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น ภาพเขียน, เหรียญโบราณ และเครื่องประดับอัญมณีล้ำค่า ซึ่งพระนางแคทเธอรีนเคยกล่าวว่า “มีแค่หนูกับฉันเท่านั้นที่สามารถชื่นชมผลงานเหล่านี้” เมื่อพระนางเสด็จสวรรคต สมบัติเหล่านี้ได้ถูกทิ้งไว้เป็นมรดกแห่งชาติและเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1852 โดยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่หนึ่ง

ทีมข่าวหน้าสตรี