การพิสูจน์ม้า...เมื่อลมพายุมา พิสูจน์คน!! “ท็อป-ยุทธชัย จรณะจิตต์” คงไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอหนุ่มที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีความสามารถอย่างที่เป็นอยู่ได้ หากเขาไม่เคยเผชิญกับวิกฤตที่สำคัญเมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อชีวิตต้องพลิกผันด้วยการรับภาระดูแลธุรกิจครอบครัวหลายพันล้านที่อิตัลไทย หลังจากที่บิดา “อดิศร จรณะจิตต์” เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในขณะที่เขาอายุเพียงแค่ 24 ปี!
“ผมไม่เคยคิดที่จะทำงานในธุรกิจครอบครัวเลยครับ ผมอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ทำงานข้างนอกตามที่ตัวเองชอบ ผมเรียนจบแค่ชั้น ป.4 ที่เมืองไทย หลังจากนั้นก็ไปเรียนไฮสกูลที่อเมริกา จนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแฮมิลตัน คอลเลจ ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับเมืองไทยในช่วงเหตุการณ์ 911 แล้วเริ่มทำงานที่บริษัทเคพีเอ็มจีฯ ในตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมายภาษีได้ 2 ปี ต่อมาได้ย้ายไปทำงานที่บริษัทสระบุรีถ่านหินฯ ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ แต่เมื่อคุณพ่อ (อดิศร จรณะจิตต์) และ “คุณเคน สารสิน” เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อ 10 ปีก่อน ผมจึงต้องเข้ามาช่วยคุณแม่ (นิจพร จรณะจิตต์) สานต่องานของครอบครัวทั้งหมด ตอนนั้นผมอายุแค่ 24 ปี”...ซีอีโอหนุ่มแห่ง “อิตัลไทย กรุ๊ป” เล่าถึงจุดพลิกผันในชีวิตที่ยิ่งใหญ่

รู้สึกกดดันไหม ที่ต้องเข้ามารับภาระดูแลธุรกิจทั้งหมดแทนคุณพ่อในช่วงเวลานั้น
หลังจากที่คุณพ่อเสียชีวิต ผมต้องพลิกชีวิตใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นเจเนอเรชั่นสามที่โตสุด จึงต้องรับภาระอย่างหนักในช่วงแรก ผมเริ่มต้นจากการเรียนรู้ด้านธุรกิจโรงแรมก่อน โดยเริ่มต้นที่โรงแรมโอเรียนเต็ลเป็นเวลา 3 เดือน ทำงานทุกแผนกตั้งแต่การเช็กอินลูกค้า, การดูแลข้อมูลลูกค้า, เบลบอย, รถลีมูซีน, ครัว, บัญชีการเงิน และการจัดซื้อ ทำให้เข้าใจการทำงานในทุกส่วน ก่อนจะย้ายไปที่กลุ่มโรงแรมอมารีเพื่อดูการก่อสร้างโรงแรมอมารี พัทยาเป็นเวลา 2 ปี
ช่วงแรกๆ “นายน้อยคนใหม่” เจอการทดสอบหนักไหม
สารพัด! ตอนนั้นผมเหมือนเด็กที่ยังไม่มีประสบการณ์อะไรเลย ต้องเข้าไปคลุกคลีเรียนรู้ทุกแง่มุมของการทำงานกับพนักงานโรงแรม ทำให้ผมได้เข้าใจระบบการทำงานและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีจนทุกวันนี้ ตอนนั้นผมไม่มีตำแหน่งอะไรเลยนอกจากเป็นลูกชายเจ้าของและกรรมการบริษัท ผมถูกพวกพนักงานรุ่นเก๋าทดสอบหลายครั้ง จนกระทั่งทั้งสองเคิร์กที่ดูแลโรงแรมโอเรียนเต็ลและอมารีเริ่มไม่ให้ข้อมูลกับผม บางครั้งก็ทำสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ หรือทำให้ผมเหมือนเด็กฝึกงานจนพวกเขาโยนเอกสารให้ผมอ่านโดยไม่บอกอะไรเลย พยายามปฏิเสธทุกความช่วยเหลือและไม่อยากให้ผมยุ่งกับการทำงานของพวกเขา
ได้ยินมาว่านายน้อยไฟแรงมาก พอเข้ามาก็รีบปฏิรูปองค์กรทันที
(ยิ้ม) ผมทนอยู่ในสภาพนั้นได้ 3 ปีสุดท้ายก็เลยต้องให้ทั้งสองเคิร์กเกษียณออกไป เพราะถ้าผมปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป องค์กรก็ไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างที่ต้องการ หากไม่ใช่คนของผม มันก็จะกลายเป็นทีมของใครคนอื่นไป ผมต้องการคนที่พร้อมจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ทันโลก ไม่ใช่พึ่งพาคนเก่าแก่ที่ทำงานในตำแหน่งเดิมนานๆ พวกเขาอาจเคยมีคุณค่าในอดีต แต่ในปัจจุบัน พวกเขามีแค่ 20% ที่พึ่งพาได้ อีก 80% ที่เหลือไม่สามารถนำพาบริษัทไปข้างหน้าได้ เพราะไม่คิดหรือนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ แม้บางคนจะทำงานในบริษัทมานาน 40 ปี แต่ยังคิดและทำงานเหมือนคนอายุ 30-40 ปี ถึงเวลาแล้วที่ผมไม่สามารถทนกับคัลเจอร์เก่าๆได้อีกต่อไป! ใน “อิตัลไทย กรุ๊ป” ตอนนี้ เรามีระบบที่ใช้วัดผลการทำงานจริงจัง ถ้าคุณอยู่มานาน แต่ไม่รู้จักปรับตัว คุณต้องไป! และตอนนี้ “อิตัลไทย” ไม่มีที่สำหรับคนที่คิดว่าไม่เป็นไรแล้ว

การนำของ “คุณท็อป” ทำให้องค์กรอิตัลไทย กรุ๊ป เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน?
มีการเปลี่ยนแปลงมากมายครับ เมื่อผมเข้ามา ผมเริ่มต้นด้วยการวางแผนระยะยาว 10 ปี เพื่อกำหนดทิศทางของบริษัท ว่าจะเป็นบริษัทแบบไหน โดยเริ่มจากการปรับโครงสร้างของโรงแรมอมารีให้ดีขึ้นและทันสมัยขึ้น เปลี่ยนชื่อจากบริษัท อมารีโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท จำกัด มาสร้างแบรนด์ใหม่คือ ‘ONYX Hospitality Group’ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของโรงแรมที่ไม่จำกัดแค่ในเครืออมารี แต่จะไปสู่โรงแรมระดับ 3 ดาว 5 ดาว รวมถึงธุรกิจเรสซิเดนซ์และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ และยังตั้งใจปรับให้ธุรกิจต่างๆในกรุ๊ปเดินไปในทิศทางเดียวกัน เราต้องมีระบบบัญชีเดียวกัน มีคอร์แวลูเดียวกัน ทุกคนในองค์กรต้องมีวิสัยทัศน์เดียวกัน ผมสร้างระบบการประเมินผลทุกเดือน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาขององค์กรให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
จากธุรกิจที่ดูไม่เด่น ตอนนี้ “อิตัลไทย กรุ๊ป” ขยายตัวไปถึงไหนแล้ว?
เมื่อผมเข้ามาเต็มตัว สิ่งแรกที่ผมทำคือการฟื้นฟูและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับ “อิตัลไทย กรุ๊ป” ให้เป็นแบรนด์ที่มีความยิ่งใหญ่และเป็นไอคอนนิกของเมืองไทย ซึ่งบริษัทของเรามีรากฐานมายาวนานกว่า 60 ปี โดยเริ่มต้นจากการร่วมมือของคุณตาผม ‘ดร.ชัยยุทธ กรรณสูต’ และ ‘มิสเตอร์จิโอจิโอ เบลลินเจียรี่’ ในการทำธุรกิจเทรดดิ้งและเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าจากยุโรปรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในช่วงนั้น จากนั้นธุรกิจต่างๆ ก็มีการขยายตัวมากขึ้นจนปัจจุบันมีมูลค่าธุรกิจรวมกว่า 13,000 ล้านบาท และเราตั้งเป้าหมายในอีก 3 ปีข้างหน้าจะขยายเป็น 26,000 ล้านบาท โดยในกรุ๊ปของเรามี 3 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจเครื่องจักรกลและวิศวกรรม 2) ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ 3) ธุรกิจร้านอาหารและค้าปลีก ซึ่งในตอนนี้เราได้ขยายธุรกิจโรงแรมไปถึง 36 แห่งทั่วประเทศไทยและเอเชีย และตั้งเป้าหมายที่จะมีโรงแรมถึง 100 แห่งในอนาคต
“คุณท็อป” เป็นซีอีโอที่มีสไตล์ไหนบ้าง เขาเป็นคนดุเดือดอย่างที่ได้ยินหรือเปล่า?
ผมเป็นคนตรงไปตรงมา! ผมทำงานร่วมกับคนต่างชาติได้ดีมาก เพราะเขาคิดอะไรตรงๆ วางแผนแล้วก็ลงมือทำทันที ต่างจากบางคนที่ทำงานกับคนไทยยากมาก เพราะไม่พูดตรงๆ ผมเชื่อว่า ‘No One Is Hero’ ดังนั้นการทำงานเป็นทีมจึงสำคัญที่สุด ทีมที่เราต้องการในอนาคตจะต้องเข้าใจทิศทางของบริษัทและพร้อมที่จะร่วมเดินไปกับเรา โดยเราเป็นคนไทยแต่ทำงานแบบฝรั่ง 150% การนำเสนอจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ถ้าเขียนรีพอร์ตเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำงานร่วมกับเราได้แล้ว!

เป็นซีอีโอตั้งแต่อายุน้อย มีใครเป็นต้นแบบ?
ผมพยายามนำสิ่งดีๆ จากทุกคนมาปรับใช้กับตัวเอง เช่น คุณตาของผมเป็นคนที่มีความสามารถ มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ขยันและตรงต่อเวลามาก ส่วนพ่อของผมเป็นคนที่ได้รับความรักจากทุกคน ไม่เคยโกรธใคร และสามารถเข้ากับคนได้ทุกระดับ ขณะที่คุณแม่ของผมเป็นคนที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ทุกอย่างต้องเป๊ะ ผมก็ชอบในรายละเอียดเหมือนกัน แต่บางครั้งก็เป็นคนใจร้อนและทำงานเร็ว คนที่ทำงานกับผมต้องพร้อมที่จะทำงานให้เร็วและมีประสิทธิภาพ ถ้าช้าเกินไปหรือขี้ตกใจจะอยู่กับผมไม่ได้ คุณตาของผมมักจะบอกเสมอว่า การไปสัมผัสสิ่งนั้นด้วยตัวเองจะช่วยให้เราเข้าใจธุรกิจได้ดีที่สุด และเราจะสามารถเอาชนะได้

บริหารธุรกิจหลายหมื่นล้านมาแล้ว มีความฝันส่วนตัวที่อยากทำไหม
ความฝันส่วนตัวของผมคือต้องการเป็นเชฟและเปิดร้านอาหารที่มีบาร์ดีๆ พร้อมอาหารอร่อยๆ และได้ทำอาหารให้ลูกค้าทานเอง ผมเชื่อว่าในเวลานั้นจะมีความสุขมาก อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือการขับรถเร็ว แม้ว่าจะไม่ได้มีรถสปอร์ต แต่มักสะสมโมเดลรถเล็กๆ ไว้เต็มบ้าน และยังชอบปีนเขาและการออกเรือ ตอนเด็กๆ ผมเคยไปกับคุณตาและรู้สึกสนุกมาก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังฝันที่จะทำสิ่งเหล่านั้นอีกในอนาคต แต่ตอนนี้ผมต้องทุ่มเทให้กับงานก่อน เวลาที่เหนื่อยจากการทำงาน การรีชาร์จของผมคือการทานอาหารอร่อยๆ และดื่มเครื่องดื่มที่ชอบแค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว
ทีมข่าวหน้าสตรี
