กฤษกร - ชูเดช - สุรพงษ์ - อรัญ - ไปรเทพ - ศิริกุล
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ถือเป็นองค์กรการกุศลและสังคมสงเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และได้อยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงของชีวิต ตั้งแต่เกิด, เติบโต, เจ็บป่วย และจนถึงการจากไป มานานกว่า 100 ปี โดยเริ่มต้นจากกลุ่มพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเล 12 คน ที่หลบหนีจากความยากจนในบ้านเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาอพยพมายังสยามเพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ และเมื่อสามารถตั้งตัวได้ พวกเขาจึงจัดตั้งมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งขึ้นในประเทศไทย บนถนนพลับพลาไชย เพื่อให้การช่วยเหลือชาวจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ที่เดินทางมาถึงเมืองไทย ให้มีที่พักชั่วคราว พร้อมจัดหาอาหารและการรักษาพยาบาลเบื้องต้น จนกลายเป็นต้นกำเนิดของตำนานข้าวต้มชามแรกบนแผ่นดินสยาม ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และยังคงยึดมั่นในการสืบสานคุณงามความดีที่ได้รับจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และจากหลวงปู่ไต้ฮง ผู้ซึ่งอัญเชิญจากประเทศจีนมาประดิษฐานในเมืองไทย ให้ลูกหลานได้สักการะเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ
แม้จะเป็นองค์กรการกุศลที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี แต่ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ก็ยังคงพัฒนาและปรับตัวตามยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เชิญลูกหลานของตระกูลเจ้าสัวยุคเก่า ที่ร่ำรวยจากการช่วยเหลือของมูลนิธิฯ มาร่วมกันขับเคลื่อนมูลนิธิฯ ให้ทันสมัย และเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง นำทีมโดย “ศิริกุล โอภาสวงศ์” ลูกสาวสุดรักของ “ดร.สมาน โอภาสวงศ์” ประธานกรรมการมูลนิธิฯ, “สุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร” ลูกชายคู่บุญของ “ดร.กำพล เตชะหรูวิจิตร” รองประธานกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ, “ไปรเทพ ซอโสตถิกุล” ลูกชายของ “เจ้าสัวกอบชัย ซอโสตถิกุล” กรรมการมูลนิธิฯ, “อรัญ เอี่ยมสุรีย์” ลูกชายของ “อัมพร เอี่ยมสุรีย์” กรรมการมูลนิธิฯ, “กฤษกร เตชะวิบูลย์” ลูกชายคนเล็กของ “เสี่ยสุทัศน์ เตชะวิบูลย์” กรรมการรองเหรัญญิกมูลนิธิฯ และ “ชูเดช เตชะไพบูลย์” ทายาทของ “ดร.วิเชียร เตชะไพบูลย์” รองประธานกรรมการป่อเต็กตึ๊ง

ปัจจุบัน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมีพันธกิจหลักอะไรบ้าง?
ศิริกุล : ปัจจุบัน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ขยายกิจกรรมการช่วยเหลือสาธารณะทั่วทั้งประเทศ ทำให้กลายเป็นองค์กรการกุศลและสังคมสงเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ช่วยแบ่งเบาภาระสังคมในหลายๆ ด้าน โดยมุ่งเน้นการบรรเทาทุกข์และมอบความสุขให้กับผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากจากภัยพิบัติต่างๆ ตั้งแต่เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย โดยไม่มีข้อจำกัดด้านชนชั้น วรรณะ เชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือวัย นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังมีโรงพยาบาลหัวเฉียวที่ช่วยเหลือผู้ป่วยจากทุกโรคและขยายวิทยาลัยหัวเฉียวให้เป็นมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชนไทย ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ
“ป่อเต็กตึ๊ง” เริ่มต้นมาจากอะไร?
ศิริกุล : มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเริ่มต้นจากชาวจีนโพ้นทะเลที่ได้ติดตามจริยวัตรของหลวงปู่ไต้ฮง ซึ่งเป็นต้นแบบของงานสังคมสงเคราะห์ที่ป่อเต็กตึ๊งยึดถือจนถึงปัจจุบัน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2439 โดยนายเบ๊ยุ่น ชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาเมืองไทย และได้อัญเชิญรูปจำลองของไต้ฮ่องกงจากประเทศจีนมาประดิษฐานที่ร้านกระจกย่งซุ่นเชียง วัดเลียบ กรุงเทพฯ ในปี 2442 ชาวจีนโพ้นทะเล 710 คน ร่วมกันบริจาคเงินซื้อที่นาในบริเวณวัดดอนและวัดคอกกระบือ เพื่อจัดตั้งสุสานสาธารณะ เพื่อช่วยผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคระบาดในสมัยนั้น การมีองค์ไต้ฮงกงทำให้เกิดการศรัทธาและมีการอัญเชิญรูปไปประดิษฐานที่สุสานสาธารณะซอยดอนกุศล และในปี 2452-2453 ได้มีการตั้งคณะเก็บศพไร้ญาติ และจัดสร้างศาลเจ้าไต้ฮงกง ต่อมาในปี 2480 เปลี่ยนชื่อเป็นมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและขยายกิจกรรมการช่วยเหลือทางสังคมออกไปหลากหลาย ทั้งโรงพยาบาลหัวเฉียวและมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน

ลูกหลานรุ่นใหม่ของ “ป่อเต็กตึ๊ง” เริ่มเข้ามาช่วยงานตั้งแต่เมื่อไหร่?
ศิริกุล : การเข้ามาช่วยงานของลูกหลานรุ่นใหม่เริ่มต้นจากคุณพ่อของผมคือ “ดร.สมาน โอภาสวงศ์” ซึ่งทำงานให้กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมาแล้ว 30 ปี ตั้งแต่สมัยที่ “เจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์” ยังเป็นประธานกรรมการ มาจนถึงปัจจุบัน ที่คุณพ่อได้ขึ้นเป็นประธานกรรมการ ท่านได้กล่าวถึงการที่คณะกรรมการส่วนใหญ่อายุสูงขึ้นและต้องการมองหาคนรุ่นใหม่มาช่วยงาน จึงได้เริ่มคัดเลือกและเชิญชวนลูกหลานเข้ามาช่วยทำงานการกุศล โดยเริ่มจากการเรียนรู้งานจากผู้หลักผู้ใหญ่ เมื่อสองปีที่แล้ว ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยงานของมูลนิธิฯ
ถูกมอบหมายให้เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระในด้านใดเป็นพิเศษ?
ศิริกุล : พวกเรามีบทบาทเป็นเหมือนคณะกรรมการย่อยที่เรียนรู้จากคณะกรรมการหลัก โดยจะเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการของมูลนิธิฯ ทุกเดือน และแต่ละคนจะได้รับมอบหมายให้เรียนรู้ในส่วนที่ถนัดและสนใจ เช่น หากมีพื้นฐานด้านการเงินการธนาคารก็จะได้ทำงานในส่วนนี้เป็นหลัก ทุกคนก็เหมือนกับญาติผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยกันมานาน บรรยากาศในการทำงานเป็นกันเองและอบอุ่น แต่ก็มีความเกร็งบ้างเพราะบางท่านอาวุโสสูงมาก เราคุยกันว่าต้องการช่วยกันปรับปรุงการทำงานของมูลนิธิฯ ให้ทันสมัยขึ้น โดยต้องพิจารณาปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เนื่องจากคณะกรรมการส่วนใหญ่มีอายุเยอะและทำงานกันมายาวนาน แต่บางสิ่งก็จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทันกับการพัฒนา

แต่ละคนมีความคิดหรือไอเดียอะไรที่จะนำมาพัฒนาให้มูลนิธิฯ ก้าวหน้าไปอีกขั้น?
ไปรเทพ : งานของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งส่วนใหญ่คนจะรู้จักในฐานะองค์กรสังคมสงเคราะห์ แต่จริงๆ แล้วเราให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทุกช่วงชีวิตของคนไทย ตั้งแต่เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ผมเข้ามาเรียนรู้การทำงานในทุกๆ ด้านของมูลนิธิฯ เพราะมีหลายอย่างที่อยากจะทำ สิ่งที่อยากเน้นคือการขยายกิจกรรมทางสังคมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในงานอาสาสมัคร รณรงค์ปลูกจิตอาสาในสังคมไทย เพื่อสร้างความเมตตากรุณาและทำให้คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและปราศจากความทุกข์
สุรพงษ์ : หลังจากที่ได้ร่วมประชุมมาหลายเดือน ผมเห็นว่าเราควรคิดค้นโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้การใช้จ่ายจากเงินบริจาคมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่ผมอยากจะเน้นคือการพัฒนาด้านการรักษาพยาบาล, การศึกษา และการดูแลสังคมสงเคราะห์สำหรับผู้สูงอายุที่กำลังจะกลายเป็นกลุ่มประชากรหลักในอนาคต แม้ว่าจะต้องลงทุนมาก แต่ผมคิดว่าเราควรทำ เพราะมันจะช่วยเหลือคนได้จำนวนมากในระยะยาว

อรัญ : งานที่ผมให้ความสนใจคือ การพัฒนาและยกระดับประสิทธิภาพของอาสาสมัครป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งขณะนี้มีอาสาสมัครมากกว่า 4 พันคน เราจะทำอย่างไรเพื่อให้มีอาสาสมัครรุ่นใหม่เข้ามาเสริมแรงให้มูลนิธิฯได้มากขึ้น พร้อมทั้งมีจิตอาสาที่สูงขึ้น และมีทักษะการทำงานในด้านนี้มากขึ้น ผมมุ่งหวังที่จะสร้างศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ผมอยากสร้างกลุ่มจิตอาสาผ่านหลากหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มคนรักจักรยาน ที่สามารถรวมตัวกันทำงานจิตอาสา โดยการฝึกอบรมวิธีบรรเทาสาธารณภัยเบื้องต้น
กฤษกร : คุณพ่อได้ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า เรามีหน้าที่ต้องรักษาและสืบทอดเจตนารมณ์ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผมเห็นคุณพ่อทุ่มเททำงานให้มูลนิธิฯมาตลอด ส่วนตัวผมก็อยากเห็นมูลนิธิฯมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น และสามารถดึงดูดผู้มีจิตศรัทธาให้บริจาคเงินต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ขณะเดียวกันเนื้องานหลักของมูลนิธิฯที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีคุณภาพดีอยู่แล้ว เพียงแต่เราควรเพิ่มกิจกรรมบางอย่างที่ทันสมัยเพื่อดึงดูดผู้มีจิตอาสารุ่นใหม่ๆ และเราควรจะทำให้แน่ใจว่าไม่ให้ลูกหลานชาวจีนเสื่อมศรัทธาในมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ไปรเทพ : เราสามารถอยู่รอดมาจนถึง 100 กว่าปีได้ เพราะว่าได้รับความศรัทธาจากผู้คน และการบริจาคเงินจากสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุด เราต้องใช้เงินบริจาคที่ได้รับเพื่อทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยให้มากที่สุด
ชูเดช : อากงของผมคือ “เจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์” ท่านได้พยายามพัฒนามูลนิธิป่อเต็กตึ๊งให้มีการบริหารงานในรูปแบบมืออาชีพมากกว่าการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเฉพาะในหมู่ลูกหลานของผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ซึ่งผมเชื่อว่าแนวทางนี้ควรจะดำเนินต่อไปในอนาคต เมื่อมูลนิธิฯมีความโปร่งใสก็จะไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คนจะสูญเสียความศรัทธาในตัวเรา
ทีมข่าวหน้าสตรี