ทุกคนต่างก็ฝันถึงการใช้ชีวิตเหมือนเจ้าหญิงในนิทาน พบรักกับเจ้าชายรูปงามและใช้ชีวิตรักในปราสาทหรู แต่ในความเป็นจริงมีสักกี่คนที่โชคดีได้แต่งงานกับเจ้าชายในฝัน เหมือนกับ ‘คุณก้อย–เบญจมา วรวงศ์วสุ เฟลมมิ่ง’ ม่ายสาวจากตระกูลไฮโซวัย 46 ปี ที่ใช้ชีวิตในอังกฤษเกือบ 20 ปี จนได้พบรักแท้ที่ตามหามานาน กลายเป็นนายหญิงของคฤหาสน์วูดเพอรี่ อายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ในออกซ์ฟอร์ดเชียร์
เจ้าชายในฝันที่กล่าวถึงมีชื่อว่า ‘มร.รอรี่ เฟลมมิ่ง’ พ่อม่ายหนุ่มใหญ่ทายาทตระกูลเศรษฐีอังกฤษที่มีทรัพย์สินหลายพันล้านปอนด์ เขาคือทายาทของ ‘มร.โรบิน เฟลมมิ่ง’ เจ้าของธนาคาร ‘เฟลมมิ่ง แฟมิลี่ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส’ และหุ้นส่วนวาณิชธนกิจใหญ่ ‘จาร์ดีน เฟลมมิ่ง’ ปัจจุบันเขาดูแลมูลนิธิครอบครัวและศิลปะของตระกูลเฟลมมิ่ง นอกจากนี้ยังเป็นหลานของ ‘เอียน เฟลมมิ่ง’ ผู้ประพันธ์นวนิยายสายลับ ‘เจมส์ บอนด์ 007’ ชีวิตของเขามีสีสันไม่น้อย จากการที่ภรรยาคนแรกเป็นบารอนเนสชาวเดนมาร์ก ซึ่งเขาต้องจ่ายเงินหย่าเป็นมูลค่าถึง 400 ล้านปอนด์

แล้ว ‘คุณก้อย’ จากไทยได้ไปใช้ชีวิตในอังกฤษได้อย่างไร?
(ยิ้มหวาน) หลังจาก ‘ก้อย’ จบปริญญาตรีจากอเมริกาและทำงานในเอเจนซีโฆษณาเมืองไทยได้ปีหนึ่ง เธอแต่งงานกับสามีคนแรกตอนอายุ 27 ปี และย้ายไปอังกฤษโดยเป็นแม่บ้านเต็มตัวไม่ทำงาน เพราะสามีต้องการให้เธอทุ่มเทกับการเลี้ยงลูกสาวสองคน (ทับทิม วัย 12 ปี และมณี วัย 7 ขวบ) ‘ก้อย’ เลี้ยงลูกแบบไทยไม่เคยคิดให้ลูกเป็นฝรั่ง และตั้งใจว่าลูกๆ จะกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยในไทย
เกิดอะไรขึ้นกับการแต่งงานครั้งแรก?
“ก้อย” ไม่เคยเป็นคนที่ฝันถึงชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบและไม่คิดว่าการแต่งงานจะทำให้มีความสุขตลอดไป แต่ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกอึดอัด ก็ต้องยอมปล่อยมือกัน หลังจากใช้ชีวิตร่วมกับสามี 15 ปีเต็ม พวกเขาตัดสินใจหย่าขาดกัน แต่ตอนนี้ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
หลังจากนั้นใช้เวลานานไหมกว่าจะพร้อมเปิดใจรับรักใหม่?
หลังจากหย่ากับสามีคนแรก “ก้อย” ใช้ชีวิตคนเดียวและมีความสุขกับการเป็นโสด เธอคิดเสมอว่าหากรักครั้งใหม่มันจะมาหาเอง ไม่จำเป็นต้องวิ่งหามัน ตอนที่พบกับ “คุณรอรี่” เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เธอไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะรู้จักเขาในฐานะผู้ปกครองของลูกสาวทั้งคู่ที่เรียนโรงเรียนเดียวกันในลอนดอน ซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสพบกันในงานของโรงเรียนบ่อยๆ

หล่อ รวย โสด ครบทุกคุณสมบัติแบบนี้ ทำไมถึงไม่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ?
ตอนแรกเราไม่ได้สนใจเขาเลย รู้จักกันตั้งแต่ “มณี” อายุ 3 ขวบ จนตอนนี้ลูกสาวคนเล็กอายุ 7 ขวบ แต่เพิ่งมาสานสัมพันธ์กันไม่นานมานี้เอง ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเขาค่อนข้างมีเสน่ห์ มีสาวๆ เข้ามาชอบเขามากมาย หลายคนพูดว่าเขาคือพ่อม่ายที่เนื้อหอมที่สุดในวงการ และยังเป็นทายาทจากตระกูลธนาคารใหญ่ของอังกฤษ ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขามาก เขาเป็นหนุ่มเฟรนลี่และเจ้าชู้ พยายามทักทายและชวนคุย แต่ช่วงแรกยังไม่ได้สนิทเกินเพื่อน รู้แต่ว่าเขาโดนภรรยาทิ้งตั้งแต่ลูกสาวคนเล็กยังเด็กมาก ฉันสงสารเขาในใจ แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่จะเริ่มอะไร และยังพยายามนั่งห่างๆ เขาด้วย ไม่อยากเข้าไปยุ่ง เพราะเขากำลังคบกับแม่เด็กในห้องเรียนที่ขี้หึงมาก เราไม่อยากมีปัญหากับใคร เวลาที่ไปไหนด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ เราก็จะพยายามนั่งห่างจากเขา จนเขาเคยพูดว่าอย่านั่งใกล้กับเบญจมานะ เธอไม่น่าพูดอะไรเลย
แล้วเขาจีบเราเมื่อไหร่ถึงทำให้เราตกลงเป็นแฟนกัน?
(หัวเราะเขิน) ด้วยความที่ “ก้อย” เป็นผู้หญิงโสดที่มีลูกติด ทำให้ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น กระทั่งเขาเลิกกับแฟนและกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง เราจึงเริ่มออกเดทกันแบบแอบๆ ช่วงแรกๆ เราก็เดินกันคนละทางก่อนแล้วค่อยแอบมาพบกัน เพราะเราทั้งสองมีลูกติดแล้ว ฉันต้องมั่นใจจริงๆ ก่อนที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้สังคมรู้
ทำไมสาวไทยอย่างเราถึงมีเสน่ห์ทำให้พ่อม่ายเนื้อหอมยอมคุกเข่าขอแต่งงานครั้งที่สอง?
(นิ่งคิด) สิ่งที่เราทำให้เขาสงบลงและอยู่ติดบ้านมากขึ้น คือเราไม่เคยยุ่งหรือกดดันเขาเหมือนสาวๆ ทั่วไป บางคนถึงขนาดย้ายกระเป๋าเข้าไปอยู่ในบ้าน บางคนพยายามทำตัวเป็นเจ้าของ หรือแสดงความต้องการตลอดเวลา เขาบอกว่าเราคือคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ ไม่อึดอัด และอยากอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา แม้เขาจะสามารถหาสาวสวยกว่าเราได้ แต่เขาก็บอกว่าเราไม่เคยคิดให้เขามาดูแลเรา เราดูแลตัวเองได้ และไม่เคยคิดให้ผู้ชายคนไหนมาช่วยเราเลย
“คุณรอรี่” โรแมนติกหรือเปล่า? เขาแสดงออกว่ารักจริงหวังแต่งหรือไม่
ไม่เลย! เราเคยแอบออกเดทกันอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งมั่นใจในกันและกัน เขาจึงเริ่มแสดงความจริงใจด้วยการชวนไปที่บ้านและให้มีส่วนร่วมในการดูแลบ้านและสวน บางครั้งเขายังชวนเราไปร่วมงานที่บ้านช่วยรับแขก แต่ด้วยความที่ “ก้อย” ถูกสอนมาให้ไม่ควรแสดงความเป็นเจ้าของในบ้านของคนอื่น ถ้ายังไม่ได้แต่งงานเป็นภรรยา เราจึงปฏิเสธไปเสมอ ขออยู่สงบๆ ในแบบของตัวเองมากกว่า ซึ่งแตกต่างจากบางสาวที่มักจะเอารูปตัวเองมาติดในบ้านเขา หลังจากคบกันประมาณ 3 ปี เขาจึงขอแต่งงาน

เขาขอแต่งงานยังไง? ได้ยินมาว่าต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
(หัวเราะ) ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เขาขอแต่งงานเมื่อปลายปีที่แล้วผ่านโทรศัพท์ โดยโทรมาถามว่า ยูพร้อมจะแต่งงานหรือยัง? ก่อนหน้านั้น “ก้อย” รู้สึกลังเลเพราะคบกันนานแล้วแต่เขายังไม่ขอแต่งงานเลย จึงตัดสินใจบินกลับเมืองไทยเพื่อไปไหว้ขอพรจาก “พระพรหมเอราวัณ” ขอให้ได้เจอรักแท้ เพราะชีวิตนี้ไม่อยากเสียเวลาอีก ถ้าเขาคือคนที่ใช่ก็ขอให้ได้แต่งงานอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าไม่ใช่รักแท้ก็ขอให้แยกทางกันไปก่อนจะเสียเวลา ตอนเข้าไปอยู่บ้าน “คุณรอรี่” ใหม่ๆ “ก้อย” ก็อธิษฐานกับเจ้าที่เจ้าทางเหมือนกันว่า ถ้าเราไม่มีบุญที่จะอยู่กับเขาและดูแลบ้านหลังนี้ ก็ขอให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้ไป หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองตัดสินใจเปลี่ยนเบอร์มือถือเพื่อขอให้ได้แต่งงาน และหลังจากเปลี่ยนเบอร์ไม่นาน 4 อาทิตย์หลังจากนั้นเขาก็โทร.มาขอแต่งงานด้วยเบอร์ใหม่ และเราก็ตอบรับโดยไม่มีความลังเลใจ ทุกอย่างไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป ความกลัวที่เคยมีหายไปเหมือนกับว่าหัวใจของเราทั้งคู่เปิดออกแล้ว
การปรับตัวเป็นมาดามคนใหม่ของทายาทตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆ ยากไหมคะ?
ก็มีโดนลองของบ้าง แต่เป็นผีนะคะ ไม่ใช่คน (หัวเราะ) บ้าน “คุณรอรี่” มีผีเยอะมาก เพราะเป็นคฤหาสน์เก่าแก่สิบห้องนอน อายุหลายร้อยปี มีพื้นที่รอบๆ มากกว่า 700 เอเคอร์ คนทำงานในบ้านมีเป็นสิบคน เกือบทุกคนเคยเจอผีหลอกมาแล้ว บางคนเห็นเป็นผีผู้หญิงชุดขาวในห้องเก็บผ้าเช็ดตัว บางคนเห็นผีผู้ชายในสวน เรากลัวผีมาก เลยต้องหาหมอผีมาดูที่บ้าน หมอผีบอกว่า ทุกห้องในบ้านมีวิญญาณอยู่ ทั้งห้องใต้ดิน ห้องทำงาน และห้องซักผ้า ถ้าวันไหน “คุณรอรี่” ไม่อยู่บ้าน “ก้อย” ก็จะไม่อยู่บ้านเหมือนกัน และย้ายไปนอนที่บ้านในตัวเมืองลอนดอน นอกจากนี้ ก็เคยโดนลองของจากพวกไฮโซอังกฤษ “คุณรอรี่” เป็นคนดังในแวดวงสังคม มีมูลนิธิการกุศลเก่าแก่ของตระกูลให้ดูแล และต้องออกงานสังคมเยอะ กิจกรรมยามว่างของเขาคือการล่าสัตว์และเดินดูพื้นที่ธรรมชาติในอาณาเขตของตัวเอง ตอนแรกๆ “ก้อย” มักโดนถามว่า ยูมาจากประเทศไทยเหรอ บ้านยูยังขี่ช้างกันอยู่หรือเปล่า เราไม่ใช่คนกลัวฝรั่ง (เน้นเสียง) เพราะเคยไปเรียนเมืองนอกมาแล้ว เราตอบกลับได้ทุกเรื่อง “ก้อย” เห็นโลกกว้างมาเยอะแล้ว และไม่คิดอยากจะทำตัวเป็นฝรั่งหรือเห็นดีเห็นงามกับทุกอย่างที่ฝรั่งทำ แต่เราอยากจะบอกฝรั่งด้วยว่า ประเทศไทยเจริญมากและคนไทยก็มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ฝรั่งเลย

ครอบครัวในฝันของนายหญิงคนใหม่ตระกูลเฟลมมิ่งจะสวยหรูขนาดไหน
เราก็อยากสร้างครอบครัวอบอุ่นที่อยู่กันแบบเพื่อนด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน เราอายุเยอะกันแล้ว คงไม่ทำตัวหวานแหวว ส่วนลูกๆ ของเราก็เริ่มโตแล้ว “ก้อย” ไม่เคยทำตัวเป็นแม่เลี้ยง แต่จะวางตัวเป็นเพื่อนและพี่มากกว่า โชคดีที่เด็กๆ เข้ากันได้ดีมากและเรียนโรงเรียนเดียวกัน
ชีวิตดุจเทพนิยายไม่ใช่เรื่องฝันกลางวันนะคะสาวๆ!!
ทีมข่าวหน้าสตรี