
- แม่ๆ ส่วนใหญ่คงเคยประสบกับ ‘ความรู้สึกผิดต่อลูก’ กันบ้าง บางครั้งก็มีแม่ที่รู้สึกผิดอย่างลึกซึ้งในใจตลอดเวลา เช่น รู้สึกผิดที่ต้องฝากลูกไว้กับผู้อื่น, รู้สึกผิดที่ไม่มีเวลาให้ลูก, รู้สึกผิดที่เหนื่อยมากจนเผลอตำหนิลูก ฯลฯ -- ความรู้สึกผิดนี้มีที่มาจากอะไร? คือการคาดหวังจากตัวเองสูงเกินไป หรือสังคมกดดันมากเกินไป?
- บทความนี้จะชวนคุณแม่ทุกคนมาเข้าใจความรู้สึกผิดเหล่านี้ พร้อมเผชิญหน้ากับมันด้วยความกล้า เพื่อก้าวข้ามความรู้สึกผิดในใจ และกลายเป็นแม่ที่ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ แต่ ‘มีความสุข’ ไปด้วยกัน
บ่อยครั้งที่ได้รับข้อความจากเพื่อนๆ ที่เป็นแม่เหมือนกัน และลูกๆ ก็อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน โดยมักจะแสดงความกังวลในฐานะแม่ เช่น “ต้องประชุมออนไลน์ทั้งวัน พอประชุมเสร็จถึงได้เห็นว่าลูกนอนหลับอยู่หน้าทีวีท่ามกลางกองขนม” หรือ “ต้องฝากลูกไว้กับคนอื่น และรู้สึกว่าคนอื่นดูแลลูกได้ไม่ดี ทำให้รู้สึกผิดมาก”
เชื่อว่าหลายๆ แม่คงเคยประสบกับ ‘ความรู้สึกผิดต่อลูก’ ไม่ต่างกัน บางครั้งอาจมีแม่หลายคนที่รู้สึกผิดลึกๆ ในใจตลอดเวลา เช่น รู้สึกผิดที่ต้องฝากลูกไว้กับคนอื่น, รู้สึกผิดที่ไม่มีเวลาให้ลูก, รู้สึกผิดที่เหนื่อยจนเผลอตำหนิลูก ฯลฯ
แล้วความรู้สึกผิดนี้มันคืออะไร? เราคาดหวังกับตัวเองมากเกินไปหรือสังคมมีแรงกดดันเรามากไปหรือไม่?
บทความนี้จะชวนคุณแม่ทุกท่านมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีที่จะก้าวข้ามมันไปให้ได้ เพื่อให้สามารถยอมรับตัวเองในฐานะแม่ที่ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ แต่สามารถมีความสุขไปพร้อมกับลูกได้
ทำไมแม่ถึงรู้สึกผิดได้ตลอดเวลา
ลูกไม่สบาย แม่ก็รู้สึกผิด
ลูกล้มเอง แม่ก็รู้สึกผิด
ลูกต้องอยู่กับพี่เลี้ยง แม่ก็รู้สึกผิด
ลูกใช้เวลากับหน้าจอมากไป แม่ก็รู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดที่แม่มีอาจเกิดจากความคาดหวังในบทบาทของการเป็นแม่ ซึ่งบางครั้งถูกตั้งโดยมาตรฐานของสังคม เช่น การต้องเลี้ยงลูกเอง, การต้องให้นมแม่อย่างน้อย 6 เดือน, การต้องเล่นกับลูกตลอดเวลา โดยไม่ให้ตัวเองเหนื่อยหรือพัก ผู้อื่นที่พยายามทำตัวให้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบจึงมักจะใช้มาตรฐานเหล่านี้มาโบยตีตัวเองอยู่ตลอด เมื่อไม่สามารถทำตามที่ตั้งไว้ได้ จึงเกิดความรู้สึกผิด ทั้งที่ในความเป็นจริง ‘แม่’ ก็เป็น ‘มนุษย์’ ที่มีสิทธิ์เหนื่อยและร้องไห้ได้เหมือนกัน
ก่อนที่จะสามารถกำจัดความรู้สึกผิดออกไปได้ คุณแม่ทุกคนอาจต้องเริ่มจากการยอมรับว่า ‘แม่ไม่ใช่คนที่ไร้ที่ติ’ ถึงแม้จะทุ่มเททุกอย่างให้ลูก แต่ยังคงต้องหันมาดูแลตัวเอง เพราะแม่ที่มีความสุข จะสามารถทำให้ลูกมีความสุขได้ด้วย
ข้อมูลจาก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า คนที่มีความรู้สึกผิด ต้องมีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการ คือ
1) มีคุณธรรม (Moral) : คนที่มีคุณธรรมเท่านั้นถึงจะมีความรู้สึกผิด ในทางกลับกัน คนที่ไม่มีคุณธรรม ก็มักสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น แต่ยังพูดเล่น ทำท่าล้อเลียนได้ โดยไม่ละอายใจ อาจเพราะคนเหล่านี้มีพัฒนาการทางจิตใจบกพร่องมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่สามารถรู้สึกผิดบาปกับการกระทำผิดของตนเองได้ ฉะนั้น ผู้ที่มีคุณธรรมมาก จึงยิ่งรู้สึกผิดได้ง่ายมาก
2) มีความรับผิดชอบต่อการกระทำ (Responsibility) : คนเป็นแม่ส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่า ‘ลูกคือความรับผิดชอบของแม่’ ดังนั้น หากมีอะไรเกี่ยวกับลูกที่ผิดพลาดไปจากมาตรฐาน ก็มักทำให้แม่รู้สึกผิดได้
3) มีความรู้สึกว่าต้องช่วยผู้อื่น (Altruism) : โดยทั่วไปหมายถึงการทำเพื่อผู้อื่น ช่วยเหลือ เสียสละ แต่หากนำมาอธิบายพฤติกรรมของคนเป็นแม่ จะเห็นว่า แม่มีหน้าที่ทำเพื่อลูกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะแม่ลูกอ่อนที่ต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิด เมื่อแม่มีความรู้สึกว่าต้องช่วยเหลือลูก แต่ไม่อาจทำได้อย่างที่หวัง ความรู้สึกผิดจึงเกิดขึ้น
4) มีความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) : คนที่มีความเห็นอกเห็นใจมักรับรู้และเข้าใจถึงความทุกข์หรือความเจ็บปวดของคนอื่นได้ และอยากให้ความช่วยเหลือ ซึ่งสำหรับคนเป็นแม่ย่อมมีความเห็นอกเห็นใจลูกตัวเองมากเป็นพิเศษ จึงไม่แปลกที่มนุษย์แม่จะรู้สึกผิด เมื่อลูกต้องเผชิญกับความยากลำบาก แม้ว่าสาเหตุนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับแม่เลยก็ตาม
จัดการความรู้สึกผิด เพื่อชีวิตที่เป็นสุข
ความรู้สึกผิดของคนเป็นแม่ มีสาเหตุจากหลายประการ ทั้งลักษณะนิสัยส่วนตัวของแม่; ความกดดันจากครอบครัว เพื่อน หรือโซเชียลมีเดีย ยิ่งเปิดเข้าเฟซบุ๊กมาเห็นเพื่อนพาลูกไปเพลย์กรุ๊ปดีๆ หรือลูกสาวอีกบ้านเริ่มเขียนหนังสือได้แล้ว ขณะที่ลูกของเรายังไม่จับดินสอเลย; หรือกระทั่งคำแนะนำจากหมอและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ที่บางอย่างเราก็ไม่อาจทำตามได้ -- ทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นสิ่งตอกย้ำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นี่เราเป็นแม่ที่ล้มเหลวหรือเปล่า?”
เพื่อค้นหาคำตอบที่ทำให้เรายังสงสัยความสามารถในการเป็นแม่ของตนเอง ลองค้นลึกลงไปถึงสาเหตุที่แท้จริงของความรู้สึกผิด เช่น เราพยายามที่จะไม่เลี้ยงลูกอย่างที่พ่อแม่ของเราเลี้ยงเรามาหรือเปล่า? เพราะบางครั้ง การพยายามมากเกินไปก็อาจทำให้รู้สึกผิด หรือเรามีภาวะซึมเศร้า ย้ำคิดย้ำทำ หรือภาวะทางจิตเวชหรือไม่? เมื่อได้คำตอบแล้ว การเผชิญหน้ากับความจริงนั้น ก็น่าจะช่วยลบล้างความรู้สึกผิดได้
การเชื่อสัญชาตญาณความเป็นแม่ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราก้าวข้ามความรู้สึกผิดได้ เราควรเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง เพราะไม่มีใครรู้จักลูกได้ดีกว่าคนเป็นแม่
และจริงๆ แล้ว คำแนะนำหรือมาตรฐานต่างๆ ที่สังคมกำหนดขึ้นเป็นเพียง ‘แนวทาง’ ที่แต่ละครอบครัวสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของตนเองเท่านั้น เราจึงต้องหาจุดสมดุลให้พบ หากรู้สึกว่าให้เวลากับลูกน้อยเกินไป เมื่อมีเวลาว่างก็ให้ความสำคัญกับลูกเป็นอันดับแรก หรือหากต้องฝากลูกให้คนอื่นเลี้ยง ก็อาจวิดีโอคอลหาลูกเป็นประจำอย่างตรงเวลา เพื่อให้ลูกรู้ว่าเราไม่ได้ละเลย ทำให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้ และยอมรับความจริงที่เป็นไป ซึ่งก็อาจช่วยให้เราเป็นแม่ที่มีความสุขเพิ่มขึ้น
งานวิจัยจากออสเตรเลียในปี 2013 เผยว่า ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะเป็น ‘คนที่มีคุณค่า’ ไม่ว่าจะในบทบาทของคนทำงาน คู่ชีวิต หรือแม่ แม้ว่าแม่บางคนอาจไม่ได้เลี้ยงลูกเองเพราะต้องทำงาน แต่ก็ยังต้องการได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าทั้งในฐานะคนทำงานที่มีความสามารถและฐานะแม่ที่ดูแลลูกได้ดี คนรอบข้างจึงมีความสำคัญในการช่วยลดความรู้สึกผิดในใจแม่ ทั้งสามีที่สนับสนุนภรรยาและหัวหน้างานที่เห็นความทุ่มเท ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นแม่ที่มีความสุข
ในใจของแม่ทุกคนต่างมีความปรารถนาที่จะเป็นแม่ที่ดีที่สุด แต่ควรจำไว้ว่า แม่ที่ดีที่สุดไม่เคยมีจริง ทุกคนล้วนมีข้อผิดพลาด การเป็นแม่ไม่ใช่การพยายามทำให้สมบูรณ์แบบ แต่คือการเติบโตไปพร้อมกับลูก เรียนรู้จากความผิดพลาดและยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ ลดความคาดหวังและหยุดการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
หากวันไหนที่เรารู้สึกว่าเป็นแม่ที่ไม่ดี ก็แค่ดึงลูกมากอดและเตือนตัวเองว่า วันหนึ่งเมื่อเมื่อลูกโตขึ้นและออกจากอ้อมกอดเราไป เราคงไม่อยากเสียดายเวลาที่เคยรู้สึกผิดแทนที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับลูกอย่างมีความสุข
มารักลูกในแบบที่เราเป็น เป็นแม่ในวิธีที่เราเลือก มั่นใจในเส้นทางที่เลือก เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับลูก พร้อมทั้งคว้า ‘วันเวลาแห่งความสุข’ ไปด้วยกันเถอะ
อ้างอิง: Healthline.com, Wiley Online Library