บัวหิมะ (ภาษาอังกฤษ : Yacon) เป็นพืชสมุนไพรจากแดนมังกรที่มีประโยชน์หลากหลาย สามารถนำมารับประทานสดหรือแปรรูปเป็นอาหารและยา รวมถึงสกัดเป็นครีมบัวหิมะ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
มาดู 5 สรรพคุณเด่นของบัวหิมะที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะสดหรือบัวหิมะแปรรูป ล้วนมีสรรพคุณหลากหลาย ทั้งการนำมาใช้เป็นยารักษาโรค การผลิตครีมบำรุงผิว หรือแม้แต่การรับประทานสดๆ บัวหิมะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้
1. ช่วยในการลดน้ำหนัก
บัวหิมะมีแคลอรีต่ำ แม้จะมีรสหวาน แต่เป็นรสหวานจากน้ำตาลฟรุตโตโอลิโกแซคคาไรด์ (Fructooligosaccharide) ซึ่งให้ความหวานน้อยกว่าน้ำตาลทั่วไป ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือด การรับประทานผลสดจึงช่วยให้อิ่มท้อง ลดน้ำหนัก และควบคุมระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. บรรเทาอาการแผลและอักเสบที่ผิวหนัง
หลายคนสงสัยว่าบัวหิมะสามารถทาแผลเป็นได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านโรค จึงมีการสกัดเป็นครีมบัวหิมะ เพื่อใช้ทาแผลเป็น รักษาอาการไฟไหม้ บรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และลดการอักเสบจากผื่นแพ้ จึงกลายเป็นครีมสมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่ควรมีติดบ้านไว้
3. ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
บัวหิมะอุดมไปด้วยแร่ธาตุโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบหลอดเลือด เช่น การขยายหลอดเลือดและการปรับปรุงระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ช่วยลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ช่วยบำรุงผิวพรรณและชะลอความเสื่อมของเซลล์
อย่างที่ทราบกันดีว่าบัวหิมะ เป็นส่วนประกอบหลักในครีมบัวหิมะและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญ เช่น กรดอะมิโนและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย
5. ช่วยลดอาการท้องผูกและกระตุ้นระบบขับถ่าย
บัวหิมะมีแบคทีเรียโพรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร ช่วยต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ปรับสมดุลการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากประโยชน์หลัก 5 ข้อของบัวหิมะที่กล่าวมา ยังมีสรรพคุณอื่นๆ เช่น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย ลดความเสี่ยงระดับน้ำตาลในเลือดสูง และบรรเทาอาการร้อนในได้อีกด้วย

ตอบคำถามยอดฮิต บัวหิมะกินได้อย่างไรบ้าง
การรับประทานบัวหิมะมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบของแต่ละบุคคล ดังต่อไปนี้
- รับประทานสดจากผลโดยตรง
- นำไปปรุงอาหาร เช่น ซุปกระดูกหมูใส่บัวหิมะ บัวหิมะผัดกุ้ง หรือสลัดบัวหิมะ
- ทำเป็นเครื่องดื่มหรือของหวาน เช่น ชาบัวหิมะ น้ำบัวหิมะ บัวหิมะไส้สตรอว์เบอร์รี หรือบัวหิมะน้ำขิง
- แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น บัวหิมะกระป๋องหรือบัวหิมะแผ่น
อย่างไรก็ตาม การรับประทานบัวหิมะในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วนได้ ส่วนคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการกินบัวหิมะสด เพราะอาจส่งผลให้ทารกมีอาการท้องเสียได้
วิธีการปลูกบัวหิมะทั้งดอกและผล แบบไหนที่เหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทย
บัวหิมะ ถือเป็นพืช สมุนไพร และผลไม้ในตัวเดียวกัน หลายคนอาจสงสัยว่าบัวหิมะมีกี่ประเภท คำตอบคือมี 2 ประเภท และแต่ละประเภทมีวิธีการปลูกที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. บัวหิมะดอก (Snow Lotus)
บัวหิมะดอก หรือบัวหิมะพันปี อยู่ในตระกูลเดียวกับดอกทานตะวัน มีดอกสีขาวและสีเหลือง เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูง 2,400-4,100 เมตร หรือบริเวณที่มีอากาศเย็นจัด สามารถปลูกจากเมล็ด โดยใช้เวลา 3-4 ปีในการเติบโตเต็มที่จนสามารถเก็บดอกได้
2. บัวหิมะสด หรือ เสวีย เหลียน กว่อ (Yacon)
บัวหิมะสด มีผลสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายมันฝรั่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่อุดมสมบูรณ์และอากาศเย็น นิยมปลูกในภาคเหนือของไทย สามารถปลูกจากหน่อของต้นบัวหิมะได้ โดยมักปลูกในช่วงเดือนมกราคม และใช้เวลา 9-10 เดือนจึงจะเก็บผลผลิตได้

บัวหิมะ มีราคาที่แตกต่างกันไปตามขนาดของผลและความสมบูรณ์ของผิวภายนอก ถือเป็นผลไม้หายากที่ใช้เวลานานในการเติบโตเต็มที่ หากสนใจอยากลองชิม สามารถหาซื้อได้ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งมักอยู่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว