
เรื่องของริ้วรอยธรรมชาติที่ด้านหลังพระสมเด็จวัดระฆังนั้น มักไม่ได้รับการพูดถึงหรืออธิบายมากนัก ทั้งจากเซียนเก่าและเซียนใหม่ เนื่องจากลักษณะของหลังพระในแต่ละองค์มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงไม่สามารถนำหลังขององค์หนึ่งไปเปรียบเทียบเป็นมาตรฐานขององค์อื่นได้
ย้อนกลับไปที่ตำราครู ใน “ตรียัมปวาย” ซึ่งได้อธิบายในปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มพระสมเด็จฯ พิมพ์ครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ.2522 หน้า 372 ว่า
พื้นที่ด้านหลังพระสมเด็จวัดระฆังมักเป็นพื้นที่ที่เรียบและกว้างในกรอบสี่เหลี่ยม โดยไม่มีสัญลักษณ์หรือองค์ประกอบทางพิมพ์ทรงใดๆ ซึ่งจะเห็นริ้วรอยธรรมชาติหลากหลายที่เกิดจากการยุบตัวของวัสดุปูนปั้นที่เปลี่ยนแปลงจากของเหลวไปสู่ของแข็ง และได้รับผลกระทบจากภาวะแวดล้อมต่างๆ
ริ้วรอยธรรมชาติที่ปรากฏเหล่านี้ไม่สามารถกำหนดรูปร่างได้อย่างชัดเจน แต่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาได้เป็นอย่างดี
อาจกล่าวได้ว่า การตรวจสอบริ้วรอยธรรมชาติที่อยู่ด้านหลังพระสมเด็จนี้ เป็นวิธีที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจข้อเท็จจริงได้มากกว่าแค่การพิจารณาจากด้านหน้าเพียงอย่างเดียว
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากด้านหลังที่เรียบง่ายและไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ ทางพิมพ์ทรง ทำให้พวกมิจฉาชีพไม่สามารถเลียนแบบได้อย่างแน่นอน นี่จึงถือเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
เมื่อครูได้อธิบายหลักการในการพิจารณาด้านหลังของพระสมเด็จวัดระฆังไว้แบบนี้ เราก็ควรฟังความรู้จากครูต่อไป ครูบอกว่า ด้านหลังของพระสมเด็จวัดระฆังมีการจำแนกออกเป็น 8 ประการ
รวมถึงหลังแบบต่าง ๆ เช่น หลังรูพรุนปลายเข็ม, หลังรอยปูไต่, หลังรอยหนอนด้น, หลังรอยย่นตะไคร่น้ำหรือฟองเต้าหู้, หลังรอยกาบหมาก, หลังรอยสังขยา, หลังรอยนิ้วมือ และหลังริ้วระแหง
แม้เพียงแค่ฟังชื่อของแต่ละแบบ เราก็ยังต้องใช้ความพยายามในการติดตามดูจากองค์จริงให้บ่อย ๆ จนคุ้นตา โดยเฉพาะหลังพระแท้ แต่ในปัจจุบันก็ต้องระมัดระวังพระปลอมที่พัฒนาขึ้นอย่างใกล้เคียงกัน
อย่าลืมหลักการจากครูบางท่านที่กล่าวไว้ว่า บางครั้งหลังพระอาจมีหลายลักษณะผสมผสานกัน และบางหลังที่ดูเรียบ ๆ ก็อาจไม่มีริ้วรอยธรรมชาติที่เห็นได้ชัด แต่หากพิจารณาให้ดี เราจะพบว่า ความเรียบเหล่านั้นแฝงไปด้วยริ้วรอยบางๆ ที่อาจจะเลือนลาง
สิ่งที่ได้กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงความรู้พื้นฐานเท่านั้น ความรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากการพิจารณาด้านหลังของพระสมเด็จที่เป็นของแท้เท่านั้น
สำหรับพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ที่อยู่ในคอลัมน์นี้ ดูเหมือนจะไม่เข้าข่าย 8 แบบตามหลักของครู แต่กลับมีลักษณะริ้วรอยที่คล้ายหรืออยู่ในประเภทของหลังรอยกาบหมาก ซึ่งมักจะมีริ้วรอยทางคดเคี้ยวตามธรรมชาติ ทั้งหนักและเบา ริ้วเล็ก กลาง และใหญ่
หลายๆ ริ้วเล็กหรือกลางที่รวมตัวกันจะกลายเป็นริ้วใหญ่ โดยจะเห็นรอยบั้งที่สลับอยู่ และองค์นี้มีสี่บั้ง ซึ่งแบ่งให้เห็นเป็นเหมือนแผ่นกระดานสามแผ่น สังเกตดูว่าในแต่ละแผ่นจะมีริ้วรอยที่บางๆ แตกต่างกันไป
โดยรวมแล้ว สัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของพระสมเด็จวัดระฆังองค์นี้ จึงได้รับการเรียกว่า “หลังกระดาน” ในวงการ
สังเกตที่บริเวณจุดสูงที่สุดริมขอบองค์พระทั้งสี่ด้าน และบริเวณขอบบั้งกระดานที่ถูกสัมผัสด้วยมือ จะเห็นเนื้อที่ละเอียดสีขาวขุ่นเหมือนนมข้น ผิวส่วนที่ต่ำลงยังคงเห็นฝ้ารักที่ลอกล่อนออกไปแล้ว โดยสีจะเป็นโทนแดงอมเหลืองหรือน้ำตาล
จากภาพถ่ายที่ขยายขึ้นมา ในหลุมร่องหลาย ๆ แห่งยังคงมีฝ้ารักหนาหรือชิ้นรักติดอยู่ มองรวม ๆ จะเห็นเป็นสีสันและลวดลายที่สลับซับซ้อน รวมกันกลายเป็นความงามในอีกแบบหนึ่ง
หลังกระดานแบบนี้ถือเป็นอีกประเภทหนึ่งที่บางเซียนอาจเผลอพูดว่า ดูหลังพระก็สามารถตัดสินได้ว่าเป็นพระแท้ โดยไม่ต้องพิจารณาที่ด้านหน้า
วันนี้เรามาพูดถึงพิมพ์ทรงด้านหน้ากันสั้นๆ พิมพ์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดี มีกระบวนการที่เป็นธรรมชาติ สัญลักษณ์ครบถ้วน เนื้อหามีความแตกสังคโลกเล็กน้อย ปรากฏมวลสารเช่นกากดำ เม็ดแดง และก้อนขาวอย่างครบถ้วน
ถือเป็นพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ที่มีสภาพสวยงาม ดูง่ายและสามารถใช้เป็นองค์ครูสำหรับการศึกษาได้อีกองค์หนึ่ง
พลายชุมพล
คลิกเพื่ออ่านคอลัมน์ “ปาฏิหาริย์จากหิ้งพระ” เพิ่มเติม