พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซม จาก ฤทธิรงค์ บุญมีโชติ แห่ง ไทยยูเนี่ยน
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดยังคงสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนทั่วโลกและคนไทย การรับข่าวสารที่เต็มไปด้วยความเครียดทำให้หลายคนมีอาการทางจิต สติหลุด จนแยกแยะความจริงกับเรื่องเท็จไม่ได้ ส่งผลให้สภาพจิตใจและสุขภาพกายแย่ลง
วันนี้ จึงขอนำพระดำรัสของ เจ้าประคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชฯ มาเตือนสติอีกครั้ง เพื่อให้ทุกคนรักษาสติ “ทุกคนมีหน้าที่แสวงหาวิธีเพิ่มพูนสติและปัญญา พร้อมทั้งแบ่งปันให้กับผู้อื่นในสังคม อย่าปล่อยให้ความกลัวและความท้อแท้มาทำลายความเข้มแข็งของจิตใจ ที่จะอดทน พากเพียร เสียสละ และสามัคคี”
และเราทุกคนก็มาหาความสงบใจด้วยการชมพระเครื่องกันเถอะ วันนี้มีพระเครื่องระดับ 5 ดาวมาให้ชมกันแบบจัดเต็ม
เริ่มต้นกันที่พระเครื่องระดับ 5 ดาวองค์แรก ซึ่งต้องขอต้อนรับนักสะสมหน้าใหม่--ใหม่ในที่นี้หมายถึงชื่อของ ฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ที่เพิ่งปรากฏในวงการพระเครื่องวิภาวดีเป็นครั้งแรก แต่ความจริงแล้วท่านเป็นนักสะสมพระเครื่องมืออาชีพและมีความเชี่ยวชาญมาก ขอบอกเลย
เพียงแค่ดูจาก พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซม องค์นี้ ก็สามารถบอกได้ว่ารังนี้มีพระเครื่องระดับไหน วันนี้จึงขอนำมาเป็นองค์แรกในการเปิดตัวรังนี้ ซึ่งจะยังมีพระเครื่องสวยๆอีกมากมายจากเสี่ยอู๊ด-ฤทธิรงค์ มาให้ชมกันแน่นอน--และถูก สีกาอ่าง จองไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับแฟนคลับโรงเรียน Mytour วิทยา
ตามธรรมเนียมของแขกรับเชิญในคอลัมน์นี้ จะต้องมีฉายาเฉพาะตัว สำหรับเสี่ยอู๊ด ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องของ TU บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัทในเครือกว่า 10 แห่ง จึงขอเรียกท่านว่า เสี่ยอู๊ด ไทยยูเนี่ยน
สำหรับพระพิมพ์ฐานแซมองค์นี้ ทุกคนต่างยอมรับว่าสวยงามระดับสุดยอด ไม่ต้องพูดมาก ซึ่งตั้งแต่เสี่ยอู๊ดได้มา ท่านซึ่งชื่นชอบพระเครื่องสายเมตตามหานิยม ก็ได้รับพุทธคุณด้านเมตตาตามที่โบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า ชื่อฐานแซม เป็นมงคล ใช้บูชาแล้วทำให้ชีวิตมั่นคง เพราะมีฐานเสริมที่แข็งแรง--ฐานแซม สวยระดับ 5 ดาวเช่นนี้ ปัจจุบันมีราคาไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท หรืออาจมากกว่านั้น

องค์ที่สอง คือ พระกริ่งพรหมมุนี พระยาทิพโกษา (สอน โลหะนันทน์) ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ ทรงสร้างขึ้นขณะดำรงสมณศักดิ์เป็น พระพรหมมุนี ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๖๒ บางคนเรียกพระกริ่งนี้ว่า พระกริ่งเนื้อเหลือง ตามสีของโลหะที่ใช้ สมเด็จท่านได้นำทองชนวนที่เหลือจากการหล่อพระพุทธชินราชจำลอง วัดเบญจมบพิตร มาหล่อเป็นพระกริ่งรุ่นนี้ โดยใช้พระกริ่งใหญ่ หรือพระกริ่งจีน เป็นต้นแบบ
ด้านใต้ฐานจะมีรอยตัดชนวน และมีอักษร “ท” ซึ่งเป็นอักษรย่อของพระยาทิพโกษา ผู้มีส่วนร่วมในการสร้างพระกริ่งนี้ โดยอักษรนี้ถูกหล่อจมลงในเนื้อโลหะขององค์พระ
ที่ฐานด้านหลัง จะเห็นรอยปิดรูกริ่ง ซึ่งเกิดจากการเทหล่อแบบบรรจุเม็ดกริ่งไว้ภายใน เมื่อหล่อเสร็จ พระยาทิพโกษาได้นำพระกริ่งนี้ไปกะไหล่ทองทั้งหมด จึงมีผู้เรียกพระกริ่งรุ่นนี้ เช่น องค์ในภาพของ เสี่ยเพชร–อิทธิ ชวลิตธำรง ว่า พระกริ่งพรหมมุนี เนื้อเหลือง--ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในพระกริ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) รุ่นมาตรฐาน ที่ได้รับความนิยมสูง และมีมูลค่าหลักล้านบาท

องค์ที่สาม คือ พระกำแพงลีลาเม็ดขนุน กรุลานทุ่งเศรษฐี อำเภอเมือง กำแพงเพชร องค์นี้เป็นพระแท้ที่ดูง่าย ตรงตามสไตล์ที่นักเล่นพระนิยม ทั้งในเรื่องของฟอร์มทรง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพิมพ์พระลีลาเม็ดขนุน พระปางลีลา ที่แสดงถึงศิลปะสุโขทัย หมวดช่างเมืองกำแพงเพชร
และเนื้อพระ ที่เป็นดินกรองเนื้อละเอียด ไม่มีเม็ดกรวดหรือเม็ดทรายปน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระกรุลานทุ่งเศรษฐี
องค์นี้ ของ เสี่ยศุภชัย สายัณห์ เป็นองค์ที่มีผิวเนื้อลบเลือนบางเบา บางจุดมีสีเนื้อฉ่ำคล้ำแบบอมเหงื่อ ซึ่งเกิดจากการสัมผัสและใช้งานอย่างใกล้ชิดของคนยุคเก่า ที่คนยุคปัจจุบันบอกว่า ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์ พิมพ์พระยังคงความงามสมบูรณ์แบบเดิมๆ ไม่มีการแต่งเติมหรือแกะเกา ราคาอยู่ที่หลักล้านกลางๆ

ต่อมาเป็น เหรียญ มทบ.๗ เนื้อทองคำ พ.ศ.๒๕๑๘ ของหลวงพ่อเกษม เขมโก จากสำนักสงฆ์สุสานไตรลักษณ์ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สร้างโดยมณฑลทหารบกที่ ๗ ค่ายสุรศักดิ์มนตรี จังหวัดลำปาง โดยอาราธนาหลวงพ่อเกษม เขมโก ปลุกเสกในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๗ และแจกจ่ายในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๘--เป็นเหรียญอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากมีประสบการณ์อัศจรรย์มากมายที่เล่าขานกัน
จำนวนการสร้างแบ่งเป็น เนื้อทองคำ ๖๔ เหรียญ เนื้อเงิน ๒,๕๑๘ เหรียญ เนื้อนวโลหะ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ และเนื้อทองแดง ๑๒,๕๑๘ เหรียญ
องค์นี้ ของ เสี่ยโหน่ง กาดเมฆ เป็นเหรียญเนื้อทองคำ หมายเลข ๒๖ ตามที่ตอกกำกับไว้ สภาพสวยงามไม่มีรอยชำรุด ได้ยินว่าปัจจุบันมีมูลค่าหลักล้านบาทแล้ว

อีกหนึ่งเหรียญ ๕ ดาว คือ เหรียญรุ่นแรกของพระครูเนกขัมมาภินันท์ (หลวงพ่อบุญทา) วัดดอนตัน อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน พระเกจิชื่อดังจากภาคเหนือ ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านพุทธาคมที่เข้มขลัง สร้างพระเครื่องและของขลังที่มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ด้านการคุ้มครองป้องกันและแคล้วคลาดจากภัยอันตราย
หลวงพ่อบุญทาเกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ที่บ้านดอนตัน เมื่ออายุ ๑๖ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดดอนตันในปี ๒๔๕๔ และเปลี่ยนชื่อจากบุญทาเป็นสุทธวงศ์
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ท่านได้อุปสมบท โดยมีพระเตวินต๊ะ วัดสบหนอง เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า “พุทธวังโส” ท่านจำพรรษาที่วัดดอนตันและศึกษาพระธรรมวินัย รวมถึงด้านคันถธุระ จนสำเร็จนักธรรมโท นอกจากนี้ยังศึกษาวิชาอาคม การเขียนอักขระเลขยันต์ และการลงยันต์ตะกรุด โดยออกธุดงค์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์กับสำนักต่างๆ ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส
ท่านได้ธุดงค์ไปยังเมืองเชียงฮ่อนในประเทศลาว และในประเทศไทยไปยังจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ จนถึงอยุธยา เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนวิชากับพระสหมิกธรรม
ท่านมีความเชี่ยวชาญในการลงตะกรุดผ้ายันต์และเสื้อยันต์ เพื่อการคุ้มครองป้องกันและแคล้วคลาดจากภัยอันตราย รวมถึงคงกระพันชาตรี ตะกรุดที่มีชื่อเสียงของท่าน เช่น ตะกรุดโทน ตะกรุดสามแหลม ตะกรุดเมฆบังวน และตะกรุดพุทธคุณหลวง เป็นต้น
วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองป้องกันภัยที่เลื่องลือ โดยเฉพาะในหมู่ตำรวจและทหาร ท่านมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ สิริอายุ ๘๕ ปี และพรรษา ๖๕
เหรียญนี้ ของ ส.จ.บอม เมืองน่าน เป็นเหรียญรุ่นแรกที่สร้างขึ้นในวาระที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พัดยศ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสชั้นตรี ในราชทินนาม “พระครูเนกขัมมาภินันท์” เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๓
ลักษณะของเหรียญเป็นแบบจำลองพัดยศ ทรงพุดตาน มีแฉกรอบขอบทั้งหมด ๑๖ แฉก ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อบุญทาหน้าตรงครึ่งองค์ พร้อมข้อความว่า หลวงพ่อวัดดอนตัน ท่าวังผา ด้านหลังเป็นรูปยันต์ ๙ ช่อง ลงอักขระหัวใจพระไตรปิฎกและยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ เขียนด้วยอักขระภาษาล้านนา ขอบด้านล่างมีข้อความว่า ท่าวังผา
เนื้อเหรียญเป็นทองแดงกะไหล่ทอง สร้างทั้งหมด ๓,๐๐๐ เหรียญ และได้รับความนิยมสูง เหรียญสภาพสวยงามแบบนี้มีมูลค่าสูงถึงหลักแสนบาท เนื่องจากอานุภาพตามคำกลอนที่ศิษย์เขียนเทิดทูนไว้ว่า พระครูเนกขัมมาภินันท์สนั่นหล้า จิตแก่กล้าเวทพุทธาอาคมขลัง จารเวทมนต์พ่นเสกเอกพลัง ปรากฏดังเป็นที่รู้สู่หมู่ชน ยันต์ธงชัยไกรเกรียงเป็นเที่ยงแท้ สามแหลมแผ่ป้องภัยให้ฉงน เมฆบังวนนั้นแกร่งกล้ามหามนต์ บันดาลดลดอนตัน-น่าน ระบือนาม

วันนี้ เครื่องรางของขลังก็ได้รับความนิยมระดับ ๕ ดาวเช่นกัน นั่นคือ ตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ของพระพิมลธรรม (นาค สุมนนาโค) วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพฯ จาก เสี่ยคำรณ สัยยะนิฐี
ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ ๑๐ ของวัดอรุณฯ และได้สร้างตะกรุดหนังหน้าผากเสือตามตำรับที่ได้รับมาจากหลวงพ่อหว่าง วัดเทียนถวาย จังหวัดปทุมธานี โดยมีทั้งแบบเคลือบรักปิดทองและหนังเสือมัดเชือก ๓ ปล้องแบบเปลือย
ตะกรุดนี้มีขนาดเล็กยาวประมาณ ๑ นิ้ว และขนาดใหญ่ยาวประมาณ ๒ นิ้ว ถือเป็นตะกรุดหนังหน้าผากเสือที่ได้รับความนิยมสูง และมีมูลค่าสูงถึงหลักแสนบาท สภาพสมบูรณ์สวยงามแบบนี้หาได้ยากในปัจจุบัน

อีกหนึ่งชิ้นที่เด็ดไม่แพ้กัน คือ เบี้ยแก้ ถักลวดทองแดง ของหลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง พระเกจิอาจารย์ชื่อดังด้านวิชาอาคมยุคเก่า ท่านสร้างพระเครื่องและของขลังที่ได้รับความนิยมสูง แต่หายากมาก อาทิ เหรียญรูปท่าน ที่มีทั้งเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง
งาแกะรูปต่างๆ เช่น รูปสิงห์ ที่เล่ากันว่าหากใครบูชาติดตัวแล้วเดินผ่านฝูงวัว-ควาย จะทำให้ฝูงสัตว์แตกตื่นวิ่งหนี นอกจากนี้ยังมีงาแกะรูปกลองตะโพน ที่เลื่องลือด้านเมตตามหานิยม ซึ่งท่านสร้างให้ศิษย์ที่มีอาชีพเป็นนักร้องหรือลิเก รวมถึงปลัดขิก ที่ท่านสร้างตามตำรับวิชาจากหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก
ของขลังที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่านคือ เบี้ยแก้ ซึ่งท่านได้รับถ่ายทอดวิชามาจากพระอาจารย์วาด พี่ชายของท่าน ที่เคยเป็นโจรชื่อดังและมีวิชาอาคมเข้มขลัง ก่อนจะหันมาสู่ทางธรรมในภายหลัง
พบว่ามีทั้งแบบถักเชือกลายกระสอบหุ้มเปิดหลัง และแบบหุ้มตะกั่วเปิดหลัง ซึ่งมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์เด่นชัด ด้านการป้องกันคุณไสย กันการถูกกระทำ กันยาสั่ง กันภูตผีปีศาจ แก้เรื่องร้ายให้กลายเป็นดี แคล้วคลาดจากภัยอันตราย และคงกระพันชาตรี--ถือเป็นของดีประจำเมืองอ่างทอง
ตัวนี้ของศูนย์พระเครื่องธนบุรี เป็นแบบถักเชือก ลงรักเปิดหลัง และยังถักลวดทองแดงหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นการรักษาสภาพเบี้ยตามวิถีชาวบ้าน ทำให้เบี้ยแก้ตัวนี้ยังคงสภาพสวยงามสมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน

ว้าว อีกหนึ่งชิ้นที่ถือว่าสุดยอด ๕ ดาว คือ ปลัดขิก (เศรษฐีบูรพา) ของพระครูนันทธีราจารย์ (หลวงพ่อเหลือ นันทสาโร) วัดสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้สร้างปลัดขิกตามตำรับวิชาของหลวงพ่อขิก อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นเครื่องรางปลัดขิกที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับ ๑ ในวงการ
ท่านเป็นชาวบางคล้า เกิดในปี ๒๔๐๕ และอุปสมบทในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ที่วัดสาวชะโงก โดยมีพระอาจารย์คง วัดใหม่บางคล้า เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการขิก วัดสาวชะโงก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านได้ศึกษาอักษรขอม-บาลี และวิปัสสนากัมมัฏฐานกับพระอธิการขิกจนเชี่ยวชาญ ก่อนจะไปเป็นศิษย์ของพระเกจิชื่อดังอีกหลายท่าน เช่น หลวงพ่อดำ วัดกุฎี จังหวัดปราจีนบุรี และหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จังหวัดกาญจนบุรี
ท่านยังเป็นพระสหายธรรมกับหลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำน้ำมนต์ รวมถึงหลวงพ่อนก วัดสังกะสี หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม และหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เป็นต้น
ท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ชอบความสมถะ และมีเมตตาธรรมสูง ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสาวชะโงกในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ และปฏิบัติหน้าที่จนกระทั่งมรณภาพด้วยโรคชราในปี ๒๔๘๘
ท่านได้ทิ้งมรดกเป็นผลงานพระเครื่องและวัตถุมงคลไว้มากมาย โดยที่โดดเด่นที่สุดคือปลัดขิกไม้แกะ รูปลักษณ์อย่างที่เห็นนี้ ของเสี่ยมล คาดเชือก ซึ่งถือเป็นศิลปะมาตรฐานและได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะส่วนก้นลูกแก้ว ที่มีอานุภาพด้านเมตตาและโชคลาภ จนได้รับสมญานามว่าเศรษฐีบูรพา
และต้องขอบอกลากับเรื่องฮาๆ ที่เกิดขึ้นที่ห้องโถงธนาคารไทยพาณิชย์ สาขารัชโยธิน กรุงเทพฯ ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนแบบวอล์กอิน สำหรับผู้สูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง
มีผู้คนมาต่อแถวตั้งแต่เช้ามืดก่อนเปิดทำการแน่นขนัด ในจำนวนนั้นมี เสี่ยจำรัส เจ้าของร้านขายส่งสินค้าบริโภค มายืนรอคิวอยู่ด้วย แต่มีคนสังเกตว่าแกคล้องพระเครื่องมาหลายพวงเต็มคอ จึงทักว่า โหเฮีย คล้องพระมาหนักขนาดนี้ กลัวโควิดหรือไง
แต่ เสี่ยจำรัส ยิ้มกว้างและปฏิเสธเสียงดัง จนทุกคนขำกันใหญ่ เพราะแกบอกว่า ผมไม่กลัวโควิดแล้ว เพราะเดี๋ยวก็ได้ฉีดวัคซีนป้องกัน แต่ที่ใส่พระมาเต็มคอ เพราะกลัวเข็มฉีดยาต่างหาก เจ้าค่ะ อามิตตพุทธ.
สีกาอ่าง