ปิดฉากสนามพระวิภาวดีในวันนี้ ด้วยคำสอนอันล้ำค่าจากเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ว่า ความสุขใจไม่ได้เกิดจากการได้ทุกอย่างตามที่ใจต้องการ แต่เกิดจากใจที่ยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะเป็นไปตามใจเราทุกอย่าง
เริ่มต้นการเดินชมตลาดพระกันที่องค์แรก พระสมเด็จเกศไชโย พิมพ์ ๖ ชั้น อกตัน จากวัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ของเฮียเปี้ย ท่าพระจันทร์ รุ่นใหญ่ สายเบญจภาคีแท้ ที่หายหน้าหายตาไปจากวงการพระมานานพอสมควร ตามอายุที่เพิ่มขึ้น
แม้จะหายไป แต่ก็มีทายาทสืบทอดต่อ ส่งภาพพระหลักยอดนิยมที่สวยงามมาให้ชมเป็นระยะ วันนี้พระที่มีชื่อว่า 'พ่อ' แสดงให้เห็นถึงความพิเศษ เมื่อเห็นภาพแล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยความสมบูรณ์แบบและความงามดั้งเดิมของพระสมเด็จองค์นี้ ที่โดดเด่นทั้งรูปทรง พิมพ์พระ เนื้อมวลสาร และสภาพคราบกรุ ถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุด

องค์ที่สองคือ พระวัดพลับ พิมพ์สมาธิ ของสมเด็จพระญาณสังวร (สุกไก่เถื่อน) จากวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
พระพิมพ์นี้เป็นเนื้อผงพุทธคุณ แสดงถึงพุทธศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ในรูปแบบเรียบง่าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยอมรับมายาวนาน โดยโดดเด่นในด้านเมตตามหานิยม และการป้องกันภัยอันตราย
มีการค้นพบพระเหล่านี้ภายในพระเจดีย์องค์ประธานประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ จากการตามล่ากระรอกเผือกของชาวบ้าน จนกระรอกหนีเข้าไปในโพรงพระเจดีย์ ชาวบ้านจึงใช้ไม้กระทุ้งเพื่อไล่กระรอกออกมา แต่กลับพบพระพิมพ์ทรงกลมขนาดเล็กเนื้อผงขาวที่มีคราบไข ไหลออกมาจากฐานพระเจดีย์เป็นจำนวนมากนับหมื่นองค์
สามารถแยกพิมพ์ได้มากกว่า ๑๐ พิมพ์ เช่น พิมพ์ยืนวันทาเสมา พิมพ์สมาธิเข่ากว้าง พิมพ์สมาธิขนาดใหญ่ กลาง เล็ก พิมพ์พุงป่องทั้งขนาดใหญ่และเล็ก พิมพ์ตุ๊กตาทั้งขนาดใหญ่และเล็ก พิมพ์พระปิดตา และอื่นๆ
ส่วนใหญ่มีคราบไขฝ้ากรุที่จับผิวเพียงบางๆ ไม่หนาแน่นเหมือนพระเนื้อผงจากกรุอื่น เนื่องจากพระเหล่านี้ถูกบรรจุไว้ในที่สูงภายในพระเจดีย์ ซึ่งอยู่เหนือพื้นดินและน้ำท่วมไม่ถึง อย่างเช่นองค์นี้ของเสี่ยตะวัน โบร์ดาร์ด ที่โดดเด่นด้วยฟอร์มทรงที่สมส่วนและพิมพ์พระที่ชัดเจน ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการพิจารณาความแท้ของพระ
เนื้อพระมีความแห้งแกร่งและซึ้งตา คลุมด้วยคราบฝ้าและรากรุ มีริ้วรอยสัมผัสบางๆบริเวณพระพักตร์ เปิดผิวให้เห็นเนื้อในที่ละเอียดนุ่มแน่น อุดมไปด้วยมวลสาร จุดเหลือง จุดขาว จุดแดง และเม็ดผดที่เรียกว่า “เนื้องอก”--ครบทุกองค์ประกอบแบบนี้ แม้จะเป็นพระพิมพ์รอง ก็ถือเป็นพระดี 5 ดาวอีกองค์หนึ่ง

อีกหนึ่งรายการที่น่าสนใจคือ พระปิดตา พิมพ์ตะพาบ เนื้อผงคลุกรัก ของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ที่กำลังเป็นที่ต้องการและมีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก เนื่องจากราคากำลังพุ่งสูงขึ้น
จุดเด่นของพระองค์นี้คือการถูกซื้อจากรังเก่าไปสู่รังใหม่ทั้งหมด เนื่องจากภาพที่ส่งมาเป็นพระหน้าเก่าชั้นดีที่มีชื่อเสียงในวงการมานาน พระปิดตาสกุลนี้ไม่มีพระหน้าใหม่ออกมานานแล้ว ผู้ที่รู้คุณค่าจึงต้องยอมจ่ายราคาสูงเพื่อหาองค์ที่สวยงามและมีประวัติเด่นชัด อย่างเช่นองค์นี้ของเสี่ยอ้วน ลอยฟ้า ที่บอกว่าซื้อมาจาก “พี่ยัพ” นายกสมาคมฯ ในราคาหลายล้านบาท

ต่อด้วยเหรียญรุ่นแรก พ.ศ.๒๕๐๓ เนื้อทองแดงรมดำ ของพระครูญาณวิลาส (แดง รตฺโต) วัดเขาบันไดอิฐ อำเภอเมือง เพชรบุรี ของเสี่ยพายุ บ้านวัชรสาร ซึ่งเป็นเหรียญแชมป์ที่ได้รับความนิยมจากนักสะสมพระเครื่องในเมืองเพชรบุรี
เมื่อเห็นแล้วต้องนึกถึงเหรียญแชมป์ทั้ง ๓ เหรียญ ที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ พร้อมกับคอมเมนต์ที่ระบุว่าเป็นเหรียญแชมป์องค์จริง และหากต้องการชี้ชัดว่าเหรียญใดเป็นแชมป์เหนือแชมป์ ก็ต้องนำทั้ง ๓ เหรียญมาจัดวางเปรียบเทียบกัน
เมื่อแรกเห็นภาพเหรียญนี้ ที่มีความคมชัดและรมดำแบบดั้งเดิมใกล้เคียงกันมาก จึงต้องถามย้ำกับเจ้าของเหรียญว่าไม่ใช่ ๑ ใน ๓ เหรียญเดิมแน่นอน ซึ่งได้รับคำยืนยันว่าไม่ใช่ และเจ้าของมั่นใจพร้อมที่จะนำเหรียญนี้มาให้พิจารณาเพื่อหาความเป็นแชมป์องค์จริง

ต่อมาเป็น พระนางพญา พิมพ์ใหญ่ (มีหู) จากกรุโรงทอ วัดโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พระพิมพ์เนื้อดินเผาที่มีรูปทรงสามเหลี่ยม แสดงถึงพุทธศิลป์สมัยอยุธยา มีอายุการสร้างในยุคเดียวกับพระนางพญา กรุวัดนางพญา และถูกค้นพบในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
สามารถแยกพิมพ์พระได้ ๒ แบบ คือ พิมพ์ใหญ่ (มีหู) และพิมพ์เล็ก (ไม่มีหู) ทั้งสองแบบมีลักษณะคล้ายคลึงกับพระนางพญา พิมพ์สังฆาฏิ กรุวัดใหญ่ และได้รับความนิยมในการแสวงหาเพื่อใช้แทนกันในราคาที่เบากว่า
องค์พระที่สวยงามและสภาพเดิมๆ แบบนี้ของเสี่ยปรีดา คูวิบูลย์ศิลป์ ที่เห็นชื่อแล้วต้องยอมรับว่าเป็นนักเล่นพระมือดี และที่สำคัญคือมีคุณธรรม--องค์นี้คาดว่าราคาน่าจะอยู่ที่หลักหมื่นปลายถึงแสนต้นๆ

ตามมาด้วย พระกริ่งชินบัญชร ก้นทองแดง หมายเลข ๑๑ ของหลวงปู่ทิม อสิรโก วัดละหารไร่ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพระเครื่องชั้นนำของเมืองระยอง ที่เงียบหายไปพักใหญ่
เนื่องจากก่อนหน้านี้ ของดีของแท้ที่ออกมามีจำนวนจำกัด และไม่ว่าจะราคาสูงแค่ไหนก็ถูกซื้อเก็บจนหมดตลาด ทำให้ของขาดตลาดและไม่มีให้เล่นหามานานหลายปี
จนถึงวันนี้เริ่มมีภาพพระถูกส่งมาเผยแพร่ในตลาดอีกครั้ง จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในการซื้อขายขึ้นใหม่ แม้จะไม่รุนแรง แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรจับตามอง
โดยเฉพาะพระหลักยอดนิยมอย่าง พระกริ่งชินบัญชร องค์นี้ของเสี่ยอนุศักดิ์ กิตติศิริสวัสดิ์ ที่มีประวัติบันทึกไว้ว่า หลวงปู่ทิม สร้างขึ้นเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๑๗ ด้วยวิธีการเทหล่อแบบโบราณ ใช้เนื้อโลหะผสมกับแผ่นยันต์ชินบัญชรและแผ่นยันต์นะ ๑๐๘ เป็นส่วนผสมหลัก
เรียกได้ว่าเป็นพระชุดชินบัญชร ประกอบด้วยพระหล่อเนื้อโลหะ ๔ แบบ ได้แก่ พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พระสังกัจจายน์ และพระปิดตา โดยพระกริ่งนี้จำลองแบบมาจากพระกริ่งใหญ่ของจีน แบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายประเภท เช่น เนื้อทองคำ ๑๓ องค์ เนื้อบรมพุทโธ ๘ องค์ เนื้อนวโลหะกะไหล่ทอง ๙ องค์ เนื้อนวะก้นทองคำ ๑๖ องค์ เนื้อนวะก้นอุดผงพรายกุมาร ๑๐๔ องค์ เนื้อนวะก้นเงิน ๓๙๐ องค์ (ไม่ตอกเลข ๑๙๕ องค์ ตอกเลข ๑๙๕ องค์ ออกให้ทำบุญที่วัดเจ้าเจ็ด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) และเนื้อนวะก้นทองแดง ๒,๕๙๕ องค์ โดยตอกโค้ดนะที่ฐานด้านหลัง และตอกหมายเลขไทยบอกลำดับ เช่น องค์นี้คือหมายเลข ๑๑ ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบดั้งเดิม เรียกได้ว่า “แกะกล่อง”

อีกหนึ่งรายการจากสำนักเดียวกันคือ พระขุนแผน พรายกุมาร หน้าบรอนซ์ทอง หลังตะกรุดสาริกาคู่ ของหลวงปู่ทิม ซึ่งเป็นพระพิมพ์ที่มีเอกลักษณ์และสร้างชื่อเสียงสูงสุด หลวงปู่ทิมสร้างขึ้นด้วยความมุ่งหวังให้เป็นพระพิมพ์ที่มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์สูงสุด โดยใช้ผงภูตพรายกุมารเป็นมวลสารหลัก และกดด้วยแม่พิมพ์ ๒ ขนาด คือ พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ทั้งสองขนาดมีบล็อกมาตรฐาน ๒ บล็อก คือบล็อกลองพิมพ์ที่ใช้ในช่วงแรก ซึ่งพิมพ์ค่อนข้างตื้นเนื่องจากเนื้อพระหยาบแบบเนื้อกระยาสารท จึงต้องแกะพิมพ์ใหม่ให้ลึกชัดขึ้น และใช้เป็นบล็อกแรกสำหรับทั้งสองขนาด ซึ่งเป็นบล็อกที่ได้รับความนิยม
พิมพ์ใหญ่บางองค์มีการฝังตะกรุดสาริกาคู่ที่ด้านหลัง ส่วนพิมพ์เล็กไม่มีตะกรุด เนื้อพระมีหลายสี เช่น เนื้อดำ เนื้อแดง เนื้อชมพู เนื้อเหลือง และเนื้อขาว ส่วนใหญ่มักชุบทองบรอนซ์ เช่น องค์นี้ของเสี่ยวิสูตร เจริญยนต์ ที่เป็นพระพิมพ์ใหญ่บล็อกนิยม สภาพสมบูรณ์งดงามแบบดั้งเดิมในระดับแชมป์ ราคาที่ได้มาอยู่ในหลักล้านบาท

ต่อไปนี้เป็นเขี้ยวเสือแกะของพระครูพิพัฒนนิโรธกิจ (หลวงพ่อปาน) วัดคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ของเสี่ยสถิตราชบุรี เป็นเขี้ยวซีกที่ดูมีชีวิตชีวาจากความแห้งของเนื้อเขี้ยวและสีสันที่คล้ายสับปะรด
ศิลปะการแกะของช่างที่แสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่น แม้จะมีรายละเอียดที่แตกต่าง แต่ยังคงรักษาโครงสร้างหลักที่เป็นมาตรฐาน เช่น หน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า และเด่นชัดด้วยรายละเอียดของรูปร่างและสัดส่วนมัดกล้ามเนื้อที่สมจริง ในท่วงท่าที่นั่งยองพร้อมตะปบเหยื่อ ลายมือจารอักขระที่ครบถ้วนและถูกต้องตามตำแหน่งทุกจุด ทำให้ดูน่าใช้จริงๆ
ปิดท้ายด้วยเรื่องราวของ “ลุงไทย” อายุ ๖๕ ปี เจ้าของลายสักหนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน ที่มีชื่อเสียงในเรื่อง “ของขึ้น” ในงานพุทธาภิเษกที่วัดในจังหวัดกาญจนบุรี โดยการปีนขึ้นไปกระโดดโลดเต้นบนหลังคาศาลาการเปรียญ เป็นเรื่องราวที่ถูกนำมาเล่าขำๆเมื่อ ๓ ปีก่อน
ครั้งนี้ลุงแกก็ไม่ยอมแพ้ ก่อนวันเข้าพรรษา ลุงได้ไปแสดงพลังอีกครั้งที่สำนักสักยันต์อาจารย์ ซึ่งจัดงานบูชาครูประจำปี โดยมีลูกศิษย์เจ้าของลายสักครบสูตรมารวมตัวกัน
เมื่อถึงเวลาอาจารย์เริ่มบริกรรมคาถาปลุกของ บรรดาลูกศิษย์ก็เริ่มแสดงอาการ เจ้าของลายสักเสือ สิงห์ ลิง ช้าง ต่างส่งเสียงคำรามและขยับท่าทางตามลักษณะของตน แสดงท่าเขี้ยวแหลมข่มขู่กัน
ส่วนพวกมังกร ปลาไหล งูใหญ่ ก็เริ่มเลื้อยไปตามพื้น นกสาลิกาขันเสียงดัง หงส์กางปีกบินไปมา ทำให้เกิดความวุ่นวาย
แต่ความสนใจทั้งหมดกลับไปอยู่ที่ลุงไทย เพราะแกไม่ได้แค่กระโดดโลดเต้นบนพื้นเหมือนคนอื่นๆ แต่ตะกายขึ้นไปกระโดดโลดเต้นบนหลังคาสำนัก แสดงท่าหาวเป็นดาวเป็นเดือน ราวกับจะเหาะได้
ทำให้พรรคพวกเป็นห่วง กลัวว่าหนุมานจะร่วงลงมาหักคอ จึงเข้าไปกระซิบอาจารย์ให้ช่วยเสกคาถาสะกดให้แกลงมา แต่อาจารย์กลับบอกว่าไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวมันหมดฤทธิ์ก็ลงมาเอง
พรรคพวกจึงกลับไปดูลุงไทย เห็นแกเริ่มเหนื่อยจากการกระโดดโลดเต้นก็รู้สึกสบายใจ พากันไปตั้งวงดื่มจนเมากลับบ้าน โดยลืมลุงไทยที่นอนสลบอยู่บนหลังคา
ตอนเช้ามืด พรรคพวกที่สร่างเมาก็กลับมาชุมนุมกันอีกครั้ง แล้วนึกขึ้นได้ว่าลืมลุงไทยไว้บนหลังคา จึงรีบไปหาอาจารย์เพื่อขอให้ช่วยเรียกลุงไทยลงมา แต่อาจารย์กลับบอกว่าลมเย็นๆแบบนี้ เดี๋ยวหนุมานก็จะฟื้นและลงมาเอง ทุกคนเชื่อฟังและอยู่คุยกับอาจารย์จนถึงเที่ยงวัน ก็ได้ยินเสียงลุงไทยตะโกนเรียกด้วยเสียงแหบๆว่า “ช่วยกูลงไปที จะตายอยู่แล้ว”
ทุกคนจึงรีบขึ้นไปช่วยลุงไทยลงมาอย่างทุลักทุเล ปรากฏว่าลุงตัวร้อนจัดและมีไข้สูง ต้องส่งโรงพยาบาลให้นอนอยู่ ๒ วัน พออาการดีขึ้น แพทย์เรียกญาติมาเตือนว่าอย่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เพราะอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากแกอายุมากแล้ว
ญาติได้ยินเช่นนั้นก็หันไปด่าพรรคพวกของลุงว่าเป็นเพราะพวกนี้ชอบพาแกไปกินเหล้าและ “ปลุกของ” พรรคพวกจึงเถียงกลับว่าไปทุกครั้งก็ไม่เห็นเป็นอะไร พอรุ่งเช้าอากาศเย็นมีลมพัด แกก็ตื่นและกลับบ้านได้เองทุกครั้ง เพราะแกเป็นหนุมาน ลูกพระพาย
ขณะที่กำลังเถียงกันอยู่นั้น ลุงไทยก็ลุกขึ้นนั่งและตะโกนด่าพวกเพื่อนว่า “กูน่ะเป็นลูกพระพายโดนลมแล้วฟื้นจริง แต่นี่พวกมึงปล่อยให้กูตากแดดร้อนเกือบตาย” เพื่อนจึงตอบว่า “เออจริง ว่าพ่อคนละคน ลืมนึกไปว่าลุงไทยไม่ใช่ลูกพระอาทิตย์” เจ้าค่ะ อามิตตพุทธ.
สีกาอ่าง