เหตุใดบางคนจึงนอนหลับโดยไม่มีฝันเลย? การนอนหลับที่ไม่มีฝันเกิดจากปัจจัยใด? แม้ว่าการนอนหลับจะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติของมนุษย์ แต่การนอนหลับที่ไม่สนิท ตื่นๆ หลับๆ หรือหลับเพราะความเหนื่อยล้า อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ การนอนไม่พอมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงทางสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อระบบเมตาบอลิซึมและระบบหัวใจและหลอดเลือด
การนอนหลับโดยไม่มีฝันเลยเกิดจากสาเหตุใด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับอาการนอนหลับโดยไม่มีฝันเลยว่า อาจเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต และทำให้การนอนหลับไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่เป็นไปตามวงจรการนอน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก ได้แก่
ช่วงที่ 1 Non - REM Sleep :
Non - REM Sleep เป็นช่วงของการนอนหลับที่เริ่มจากการหลับตื้นไปจนถึงหลับลึก อาจมีอาการหลับๆ ตื่นๆ บ้างในช่วงนี้
ช่วงที่ 2 REM Sleep :
REM Sleep เป็นช่วงของการนอนหลับลึกที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายหยุดทำงาน และเป็นช่วงที่มักเกิดการฝันเป็นเรื่องราวต่างๆ
REM Sleep คืออะไร
REM Sleep คือ คำที่ใช้เรียกช่วงเวลาการนอนหลับที่เป็นวงจร โดยย่อมาจาก Rapid Eye Movement Sleep ซึ่งหมายถึงการกลอกตาเร็วขณะนอนหลับ นี่เป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ที่เกิดขึ้นทุก 90 นาที บางคนอาจนอนหลับวันละ 7 ชั่วโมง หรือ 4-6 ชั่วโมง ตามวงจรการนอนหลับ
วงจรการนอนหลับ REM Sleep สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก ได้แก่ ช่วงการนอนหลับที่ไม่มีอาการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (Non - REM Sleep) และช่วงการนอนหลับที่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (REM Sleep)
Non - REM Sleep คือ
ระยะที่ 1 ใช้เวลาประมาณ 10 นาที “ช่วงเริ่มต้นของการนอนหลับ”
เมื่อเข้าสู่การนอนหลับ คลื่นสมองจะเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยระยะที่ 1 นี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ระยะที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที “ช่วงการนอนหลับตื้น”
ระยะนี้จัดเป็นระยะหลับตื้น ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีความไวต่อการถูกปลุกให้ตื่น ไม่มีการกลอกตาหรือกลอกตาเพียงเล็กน้อย ร่างกายไม่เคลื่อนไหว กล้ามเนื้ออยู่ในภาวะผ่อนคลาย อัตราการเผาผลาญพลังงานอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่มีการเกิดความฝัน ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองจะปรากฏเป็นกราฟที่เรียกว่า คลื่นธีต้า (Theta Wave)
ระยะที่ 3 ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที “ระยะหลับลึก”
ในระยะนี้เรียกว่าหลับลึก ซึ่งเป็นช่วงที่ปลุกให้ตื่นได้ยาก อาจมีอาการนอนกรนเกิดขึ้น อัตราการเผาผลาญพลังงานอยู่ในระดับต่ำ และคลื่นสมองที่ปรากฏเรียกว่า คลื่นเดลต้า (Delta Wave)
ระยะที่ 4 ใช้เวลาประมาณ 40 นาที “ระยะหลับสนิท”
ในระยะหลับสนิท คลื่นสมองที่พบเป็นคลื่นเดลต้าประมาณ 50% ระยะนี้มีอัตราการเผาผลาญพลังงานต่ำ ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลง และมีการหลั่งฮอร์โมน Growth Hormone ที่ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
REM Sleep คือ
REM Sleep คือ ช่วงการนอนหลับที่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว เกิดขึ้นหลังจากระยะ Non-REM Sleep โดยมีคลื่นสมองที่คล้ายกับช่วงตื่น (Paradoxical Sleep) ซึ่งเป็นคลื่นขนาดเล็กและเร็ว เรียกว่า “คลื่นแอลฟา” ที่มีความถี่สูงไม่สม่ำเสมอและมีแรงไฟฟ้าต่ำ การไหลเวียนเลือดในสมองเพิ่มขึ้น ช่วยฟื้นฟูกระบวนการคิด ความจำ และการรับรู้ หากนอนหลับไม่เพียงพอในช่วงนี้ อาจทำให้เกิดความสับสนและขาดการหลั่งฮอร์โมนสำคัญบางชนิดที่ร่างกายต้องการ
มนุษย์ต้องการการนอนหลับเท่าไร

- ทารกแรกเกิด ต้องการการนอนหลับ 14-18 ชั่วโมงต่อวัน และต้องการ REM Cycle 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
- ทารกอายุ 1-12 เดือน ต้องการการนอนหลับ 12-18 ชั่วโมงต่อวัน และต้องการ REM Cycle 5-6 ชั่วโมงต่อวัน
- เด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไปและผู้ใหญ่ ต้องการการนอนหลับ 6-9 ชั่วโมงต่อวัน และต้องการ REM Cycle 4.5-6.75 ชั่วโมงต่อวัน
การนอนหลับช่วยประหยัดพลังงานที่ร่างกายและสมองต้องใช้ ช่วยฟื้นฟูและจัดระเบียบความทรงจำ จัดลำดับความคิดอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และความจำ การนอนหลับในระยะ REM จึงมีบทบาทสำคัญในการปรับพฤติกรรมหลังตื่นนอน ช่วยให้สมองกรองข้อมูลที่จำเป็น และควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ
การนอนหลับโดยไม่มีฝันดีหรือไม่ และส่งผลต่อร่างกายอย่างไร
หากร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อกระบวนการนอนหลับ อาจทำให้เกิดอาการนอนหลับโดยไม่มีฝัน ในช่วงเวลาดังกล่าวอาจสังเกตได้ว่าตนเองมีอาการผิดปกติ ดังต่อไปนี้
- การตัดสินใจช้าลง
- สูญเสียสมาธิ และถูกกระตุ้นให้เสียสมาธิได้ง่าย
- ความทนทานต่อความเจ็บปวดลดน้อยลง
- รู้สึกเฉื่อยชา
- พูดช้าลง
- กระบวนการคิดและการรับรู้บกพร่อง
- ความดันก๊าซในเม็ดเลือดแดงเปลี่ยนแปลง
- อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง
- รู้สึกเซื่องซึม หงุดหงิด และโมโหง่าย
จะเห็นได้ชัดว่าผลกระทบเหล่านี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้การปฏิสัมพันธ์กับสังคมลดลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น
มีวิธีใดบ้างที่ช่วยให้นอนหลับสนิทโดยไม่มีฝัน

อาการนอนไม่ฝัน อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพ วิธีแก้ไขเมื่อรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ คือการเข้ารับการประเมินการนอนหลับ เมื่อแพทย์พบความผิดปกติในระบบร่างกาย จะทำการรักษาตามอาการ ใช้ยา และแนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับหรือหลับแล้วไม่ฝัน สามารถฝึกตนเองได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จะส่งผลกระทบต่อการนอนหลับในช่วง REM Sleep หากลดหรือหยุดดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยให้การนอนหลับกลับสู่ภาวะปกติได้ดีขึ้น
2. หลีกเลี่ยงกาเฟอีนและสารเสพติด
เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและสารเสพติดบางชนิด อาจทำให้ร่างกายตื่นตัวขณะใช้งาน แต่หากลดหรือหยุดทันที อาจส่งผลต่อการนอนหลับ ดังนั้น ต้องใช้เวลาปรับตัวเพื่อให้ร่างกายกลับมานอนหลับสนิทและฝันได้ตามปกติ
3. หลีกเลี่ยงความคิดวิตกกังวลก่อนเข้านอน
ความเครียดส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ โดยเฉพาะผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เช่น ผู้ป่วยโรค PTSD ซึ่งมีแนวโน้มที่จะฝันร้ายบ่อยกว่าคนทั่วไป
4. ศึกษาผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาโรคประจำตัว
ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรทราบว่ายาบางชนิดอาจส่งผลให้นอนไม่หลับ เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต และยารักษาโรคพาร์กินสัน ยาเหล่านี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งอาจกระทบต่อการนอนหลับและการรับรู้ ทำให้มีโอกาสนอนหลับโดยไม่ฝัน
บางคนอาจมีความฝันขณะนอนหลับ แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับจำความฝันนั้นไม่ได้ บางทฤษฎีอธิบายว่าความฝันคือการจัดระเบียบเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน หากต้องการจดจำความฝันได้ดีขึ้น สามารถลองจดบันทึกและลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด
แหล่งข้อมูล : lib.cmu.ac.th