
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ผู้คนนิยมนำพระกริ่งมาใช้ในการทำน้ำมนต์เพื่อสรงน้ำและลูบหน้าสำหรับการรักษาและคุ้มครองตนเอง ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีบันทึกว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชดำริให้จัดพิธี 'หล่อพระชัย' เพื่อพระราชทานให้พระโอรสที่กำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศนำไปห้อยพระศอ
พระชัย...ซึ่งมีชื่อเต็มว่า 'พระชัยวัฒน์' มีขนาดเล็กตั้งแต่ปลายนิ้วก้อยจนถึงปลายตะเกียบ
ในสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ) แห่งวัดสุทัศน์ ทรงเริ่มสร้างพระกริ่งรุ่นเทพโมลีรุ่นแรกในปี พ.ศ. 2441 และทรงสร้างต่อเนื่องมาจนถึงสมัยที่ทรงมีสมณศักดิ์เป็นพระพรหมมุนีในปี พ.ศ. 2459 เล่ากันว่ามีศิษย์หลายคนนำพระกริ่งไปเลี่ยมเพื่อแขวนคอ ซึ่งขัดกับขนบเดิม จึงทรงมีดำริให้สร้าง 'พระชัยวัฒน์' ขนาดเล็กเพื่อให้ใช้ติดตัวแทน
พระชัยหุ้มก้น...มีจารึกอักษรขอมที่ก้น น่าจะเป็นรุ่นแรกสุด แต่มีจำนวนน้อยมาก ส่วนพระชัยวัฒน์ที่ทรงสร้างไว้มีจำนวนมากพอสมควร...ปี พ.ศ. ไม่แน่นอน
สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับปีที่สร้างพระกริ่งพรหมมุนีรุ่นถวายสำรับ ซึ่งรวมถึงพระชัยกะไหล่ทองด้วย
พระชัยกะไหล่ทองรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดและโดดเด่นกว่าทุกรุ่น คือรุ่นของตระกูลวสุธาร โดยหลวงศุภกรบรรณสาร (นุ่ม วสุธาร) ได้ขออนุญาตร่วมพิธีหล่อ รุ่นนี้แม้จะเรียกว่ากะไหล่ทอง แต่กลับเป็นรุ่นเดียวที่เนื้อทองที่กะไหล่ออกมาเป็นนาก
หลังจากหล่อเสร็จ เล่ากันว่าหลวงสุวรรณ ช่างทองประจำราชสำนักได้ตกแต่งอย่างประณีตบรรจง ทุกองค์มีการจารึกที่ก้นด้วยอักษรขอม ซึ่งเป็นพระนามของพระพุทธเจ้าต่างๆ
สำหรับพระชัยฯ...ของตระกูลอื่นๆ เช่น ดารากร สำเร็จประสงค์ ฯลฯ นั้น กะไหล่ด้วยเนื้อทองสีทอง เช่นเดียวกับพระชัยกะไหล่ทององค์ที่ปรากฏในคอลัมน์วันนี้...ฝีมือช่างมีความใกล้เคียงกับหลายองค์ที่มีหลักฐานยืนยันว่ามาจากตระกูล 'ดารากร'
ประมาณปี พ.ศ. 2526 คุณพัทยา เอกหิตานนท์ เคยแบ่งปันให้ผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักในราคามิตรภาพที่หกหมื่นบาท
ในช่วงเวลาเดียวกัน พระชัยกะไหล่ทองของตระกูลวสุธารที่มีการกะไหล่นากลอกล่อน คุณพัทยาได้ประเมินราคาไว้ที่ 7 แสนบาท ซึ่งในปี พ.ศ. นั้นถือว่าเป็นราคาที่สูงมากและล้ำหน้าพระกริ่งพรหมมุนีอย่างชัดเจน
กระบวนการกะไหล่พระชัย...มีการบันทึกไว้ว่าเป็นเทคนิคที่สืบทอดมาจากภูมิปัญญากรีกโบราณที่มีอายุมากกว่า 4,000 ปี
หลังจากทำความสะอาดองค์พระจนเรียบร้อยแล้ว จะนำทองคำไปผสมกับปรอท โดยปรอทจะดูดซับเนื้อทองจนกลายเป็นสีขาว จากนั้นนำปรอททองนั้นไปผ่านความร้อนจนละลาย แล้วจุ่มองค์พระลงไป ทองจะเกาะติดเนื้อพระอย่างแน่นหนาและมองเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นชั้นหนา
อย่างน้อยก็ต้องหนาและชัดเจนกว่า 'ทองชุบ' ซึ่งเป็นวิธีการทำพระชัยปลอมที่พบได้ทั่วไปในตลาด
ข้อสังเกตสำคัญของพระชัยกะไหล่ทองปลอม แม้บางองค์จะมีการตกแต่งที่ใกล้เคียง แต่ที่ก้นมักจะมีรอยขีดข่วนซึ่งไม่ใช่รอยจารด้วยเครื่องมือ ส่วนพระชัยกะไหล่ทองแท้จะมีร่องลึกและเส้นตัดที่คมชัด
ยังมีพระชัยแท้ที่แตกต่างออกไป คือพระชัยที่เหลือจากชุดร่วมตระกูล ซึ่งเจ้าภาพได้รับไปตามจำนวนที่จองไว้...หลายองค์ถูกนำไปตกแต่งใหม่ ทำให้ฝีมือดูแปลกตาและแตกต่าง บางองค์แทบไม่มีร่องรอยการแต่งเติมเลย...
สมเด็จพระสังฆราชแพ ทรงโปรดให้ช่างเจาะก้นพระชัยเป็นสองรู...เรียกกันว่า พระชัยเจาะก้นสองรู
รูที่เจาะนั้นไม่ได้กลมเหมือนรูสว่าน...และมีผงผสมชันอุดไว้อย่างแน่นหนา
พระชัยกะไหล่ทององค์ที่ปรากฏในคอลัมน์นี้ มีการอุดก้นสองรู เมื่อเทียบกับภาพพระชัยกะไหล่ทองในสภาพต่างๆจากหนังสือของวงการ ก็พบว่ามีความกลมกลืนกัน
นอกจากนี้ ร่องรอยการสัมผัสยังเป็นรอยสึกธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการขัดแต่ง จึงสามารถสรุปได้ว่าเป็นพระชัยแท้...เหมาะสำหรับนำไปใส่ตลับทองและห้อยคอได้อย่างภาคภูมิ
นี่คือของหายากที่ควรค่าแก่การเก็บไว้ในความทรงจำ...เพราะหากบุญวาสนาพาให้ อาจมีโอกาสได้เป็นเจ้าของสักวัน
พลายชุมพล