เช่นที่ทราบกันแล้วว่า วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567 นี้ จะตรงกับวันครบรอบ 242 ปี ของการก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีล่าสุดของประเทศไทย ซึ่งในวันเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ก็ได้มีการตั้งศาลหลักเมืองขึ้น จึงนับได้ว่า วันที่ 21 เมษายนของทุกปี เป็นวันที่ครบรอบการก่อตั้งกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ นั่นเอง
ในปีนี้ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศไว้ จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน ถึง 25 เมษายน โดยช่วงแรกจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 เมษายน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และช่วงที่สองจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน จนถึงวันที่ 25 เมษายน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ และสถานที่อื่นๆ
เรื่องราวและรายละเอียดของการจัดงานเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้อ่านคงจะได้เห็นข่าวหรือรับชมจากรายการโทรทัศน์กันมาบ้างแล้ว
แต่เรื่องราวเกี่ยวกับ “ศาลหลักเมือง” ซึ่งในราชประเพณีแต่โบราณถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลและปกปักรักษาเมืองนั้นๆ ยังไม่ได้รับการกล่าวถึงมากนักในสื่อสาธารณะต่างๆ
ดังนั้นในโอกาสที่กรุงรัตนโกสินทร์ครบ 242 ปีในวันนี้ ซึ่งหมายความว่า “ศาลหลักเมือง” ก็มีอายุครบ 242 ปีด้วยเช่นกัน ทีมงานซอกแซกจึงเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่สำคัญแห่งนี้ของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบและตระหนักถึงความสำคัญของการจัดงานเฉลิมฉลองกรุงในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กัน

เมื่อเดือนกันยายนปี 2565 หรือไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พวกเราจากกองบรรณาธิการ Mytour กว่า 30 คน ภายใต้การนำของท่านรองหัวหน้ากองบรรณาธิการ คุณเพ็ชรากรณ์ วัชรพล ได้มีโอกาสไปกราบไหว้ขอพรและร่วมพิธีบวงสรวงโดยพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งในครั้งนั้นหัวหน้าทีมซอกแซกได้มีโอกาสร่วมพิธีและยังคงจดจำบรรยากาศแห่งความศรัทธาและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ผู้ทรงก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์และศาลหลักเมืองให้เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนชาวไทยจนถึงทุกวันนี้
เอกสารจากทั้งเว็บไซต์ของ ศาลหลักเมือง และ วิกิพีเดีย ระบุว่า ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานครสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เพื่อเสริมสิริมงคลแก่บ้านเมืองตามประเพณีโบราณ โดยได้มีพิธียกเสาหลักเมืองขึ้นในเวลา 6.54 นาฬิกาของวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ซึ่งตรงกับเดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ

เสาหลักเมืองต้นแรกทำจากไม้ชัยพฤกษ์และมีไม้แก่นจันทน์ประกับที่ด้านนอก ส่วนยอดเสาออกแบบเป็นรูป “บัวตูม” ต่อมาหลังจากเสาเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาหลักเมืองต้นใหม่จากไม้สัก และส่วนยอดได้เปลี่ยนเป็นรูป “ทรงมัณฑ์” พร้อมทั้งมีการผูกดวงชะตาขึ้นใหม่เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงยั่งยืน
ในปีพุทธศักราช 2525 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่ศาลหลักเมืองในพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี และมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงศาลหลักเมืองให้สวยงามและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมทั้งได้อัญเชิญเสาหลักเมืองทั้งต้นเดิมในสมัยรัชกาลที่ 1 และต้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 มาไว้เคียงคู่กันจนถึงปัจจุบัน และเมื่อการบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระองค์ได้เสด็จมาทรงประกอบพิธีสมโภชในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ด้วยพระองค์เอง
ปัจจุบันศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานครยังเป็นที่ประดิษฐานของศาลเทพารักษ์อีก 5 พระองค์ ซึ่งเดิมทีศาลเหล่านี้ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ในเกาะรัตนโกสินทร์ ก่อนจะมีการอัญเชิญมาประทับที่ศาลหลักเมือง โดยสร้างศาลใหม่รอบๆ เพื่อประดิษฐานองค์เทพทั้ง 5 ได้แก่ พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระกาฬไชยศรี, เจ้าเจตคุปต์ และ เจ้าหอกลอง ครบทั้ง 5 องค์

นอกจากนี้ยังมีการสร้างหอพระพุทธรูปขึ้นอีกหนึ่งอาคารในบริเวณศาล เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้พระพุทธรูปตามวันเกิดของตนเอง ซึ่งภายในหอนี้มีพระพุทธรูปครบตามวันเกิดของแต่ละบุคคล
คณะของพวกเราจากกองบรรณาธิการ Mytour ซึ่งได้ทำการติดต่อและประสานงานล่วงหน้า ได้มีโอกาสกราบไหว้เสาหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในบริเวณศาลอย่างครบถ้วน รวมทั้งร่วมพิธีพราหมณ์และถวายดอกไม้ ธูปเทียน และพวงมาลัยต่างๆ ด้วย
ในขณะที่คณะของเราได้ดำเนินการตามพิธีต่างๆ ได้มีประชาชนทั่วไปหลั่งไหลมาร่วมสักการะศาลหลักเมืองอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคารพและศรัทธาของประชาชนชาวไทยที่มีต่อศาลหลักเมืองอย่างเหนียวแน่นตลอดมา
เจ้าหน้าที่ของศาลหลักเมืองได้แจ้งว่า ศาลยินดีต้อนรับผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน โดยสามารถเข้าไปสักการะได้ตั้งแต่เวลา 06.30 น. ถึง 18.30 น. ของทุกวัน แต่ในช่วงนี้เว็บไซต์ของศาลแจ้งว่าอยู่ระหว่างปิดทำการ และจะเปิดให้บริการใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายนนี้ ตั้งแต่เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป
วันนี้เรานำเสนอภาพถ่ายหมู่ของพวกเราที่ไปสักการะกันเมื่อวันก่อน แม้ว่าภาพจะออกมาค่อนข้างเล็กจนเห็นรายละเอียดใบหน้าไม่ชัด แต่หากขยายดูจะเห็นถึงความรู้สึกปลาบปลื้มและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ปรากฏบนใบหน้าของทุกคน––ขอบอกเลยว่าเต็มไปด้วยความปีติจริงๆ!
“ซูม”