
- เมื่อร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำจนเกินไป อาจทำให้ระบบการเผาผลาญช้าลง ส่งผลให้พลังงานในร่างกายถูกเก็บสะสมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้มีการสะสมของน้ำและเกลือแร่ จนเกิดภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนขึ้น
- ในกรณีที่ฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานเกินไป อาจทำให้ร่างกายผอมลง น้ำหนักไม่เพิ่มแม้จะพยายามทานอาหารมากขึ้น
- ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดไทรอยด์ใหม่ โดยการผ่าตัดผ่านกล้องทางช่องปาก ซึ่งไม่ทิ้งแผลเป็นที่มองเห็น แผลหายเร็ว ไม่มีพังผืด และเสียเลือดน้อย อีกทั้งยังไม่กระทบต่อกล่องเสียง ใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน และสามารถฟื้นตัวได้เร็ว
แม้ภาวะน้ำหนักตัวที่ผิดปกติจะเกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารและการดูแลตัวเอง แต่ในบางครั้งปัญหานี้อาจมีสาเหตุมาจากโรคในระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของต่อมไทรอยด์ เช่น ภาวะพร่องไทรอยด์ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป นอกจากนี้ ภาวะไทรอยด์ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณแรกของมะเร็งต่อมไทรอยด์ การวินิจฉัยและรักษาในระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมไทรอยด์คืออะไร และมีหน้าที่อย่างไร
ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) เป็นต่อมไร้ท่อชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายปีกผีเสื้อ ซึ่งตั้งอยู่ที่ส่วนหน้าของลำคอ ต่อมไทรอยด์ทำหน้าที่ผลิตและปล่อยฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งได้รับการควบคุมจากสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) โดยฮอร์โมนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย รวมทั้งการลดและเพิ่มน้ำหนัก อัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิร่างกาย การย่อยอาหาร และการพัฒนาการทางสมองในเด็กทารก
ความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ที่ควรรู้
ความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก คือ ภาวะพร่องไทรอยด์และภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป
สาเหตุของภาวะไทรอยด์ทำงานเกินปกติ เช่น ภาวะ Grave (Grave’s disease) ซึ่งเป็นโรคที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป, ภาวะก้อนของต่อมไทรอยด์ (Thyroid nodule), การอักเสบของต่อมไทรอยด์, การทานอาหารที่มีสารไอโอดีนเกินขนาด หรือแม้กระทั่งมะเร็งต่อมไทรอยด์
1) ภาวะพร่องไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือที่เรียกว่าไทรอยด์ต่ำ อาการที่ควรระวัง
ภาวะพร่องไทรอยด์ (Hypothyroidism) หมายถึงภาวะที่ร่างกายผลิตหรือหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์น้อยกว่าปกติ ซึ่งทำให้กระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย
เมื่อระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายลดลงอย่างรุนแรง อาจทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่ต่ำ ซีด มีอาการสับสน หัวใจหยุดเต้น เกิดภาวะหมดสติ (myxedema coma) ซึ่งสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ภาวะพร่องไทรอยด์สามารถเกิดจากหลายปัจจัย เช่น โรค Hashimoto (Hashimoto’s disease) ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ลดลง นอกจากนี้ยังเกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ การรักษาภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน การขาดสารไอโอดีน ความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือแม้แต่โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์
- การเผาผลาญในร่างกายต่ำลง
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- รู้สึกหนาวง่าย
- ขาดพลังงาน
- เหนื่อยง่าย
- ท้องผูกบ่อย
- ปวดตามร่างกาย
- ผิวแห้งและหยาบ
- ความต้องการทางเพศลดลง
- ประจำเดือนมีความผิดปกติ
เมื่อระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายลดลงอย่างรุนแรง อาจทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่ต่ำ ซีด มีอาการสับสน หัวใจหยุดเต้น เกิดภาวะหมดสติ (myxedema coma) ซึ่งสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ภาวะพร่องไทรอยด์สามารถเกิดจากหลายปัจจัย เช่น โรค Hashimoto (Hashimoto’s disease) ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ลดลง นอกจากนี้ยังเกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ การรักษาภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน การขาดสารไอโอดีน ความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือแม้แต่โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์
2) อาการของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน (Hyperthyroidism) หรือ ไทรอยด์เป็นพิษ
ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน (Hyperthyroidism) เป็นภาวะที่ร่างกายผลิตหรือหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ในปริมาณที่สูงกว่าปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบการเผาผลาญ และการทำงานของหัวใจ
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน ได้แก่ โรค Grave (Grave’s disease) ซึ่งเป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายส่งผลกระทบต่อต่อมไทรอยด์ ทำให้การผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป หรือภาวะก้อนในต่อมไทรอยด์ (Thyroid nodule) การอักเสบของต่อมไทรอยด์ การได้รับสารไอโอดีนมากเกินจากอาหาร หรือแม้กระทั่งมะเร็งของต่อมไทรอยด์
- ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วและไม่สบายตัว
- มือสั่น
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
- ท้องเสียบ่อย
- ผิวหนังบางลง รู้สึกอุ่นและชื้น
- ประจำเดือนมีความผิดปกติ
- รู้สึกขี้ร้อนหรือเหงื่อออกมาก
- นอนไม่หลับ
- ผมร่วง
- ตาโปน
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน ได้แก่ โรค Grave (Grave’s disease) ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายต่อมไทรอยด์ ทำให้การผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน ภาวะก้อนในต่อมไทรอยด์ (Thyroid nodule) การอักเสบของต่อมไทรอยด์ การรับสารไอโอดีนมากเกินจากอาหาร หรือการเป็นมะเร็งของต่อมไทรอยด์
ไทรอยด์ อ้วน-ผอม ฮอร์โมนไทรอยด์ส่งผลต่อน้ำหนักอย่างไร
ฮอร์โมนไทรอยด์ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเผาผลาญของร่างกาย หากร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์น้อยจนเกินไปก็อาจทำให้การเผาผลาญของร่างกายน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เกิดการสะสมพลังงานในร่างกายมากขึ้น
ไทรอยด์ อ้วน : ความไม่สมดุลของฮอร์โมนไทรอยด์ก็อาจทำให้เกิดการสะสมของน้ำและเกลือแร่ซึ่งก่อให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินได้ โดยผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องไทรอยด์จะมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงได้ แม้มีภาวะพร่องไทรอยด์เพียงเล็กน้อย และหากมีอาการมากขึ้นก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักได้ถึง 5-15 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ไทรอยด์ ผอม : ส่วนในผู้ที่ฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ก็อาจเกิดภาวะผอมเกินไป น้ำหนักไม่ขึ้นแม้จะพยายามกินเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วร่วมด้วย
การป้องกันภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ผิดปกติ
การบริโภคอาหารที่มีไอโอดีนอย่างเพียงพอสามารถช่วยป้องกันภาวะพร่องไทรอยด์จากการขาดสารไอโอดีนได้ ส่วนการลดหรืองดการสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับไทรอยด์บางประเภท แต่ยังไม่มีวิธีที่แน่นอนในการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับไทรอยด์ ผู้ที่มีความเสี่ยงควรได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และหากมีอาการของโรคไทรอยด์ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาในช่วงต้น
การรักษาภาวะผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ สามารถรักษาได้ดังนี้
1. การใช้ยา สามารถรักษาภาวะพร่องไทรอยด์และภาวะไทรอยด์เกินได้ โดยต้องใช้ยาอย่างถูกต้องภายใต้การดูแลของแพทย์ มีการติดตามระดับฮอร์โมนไทรอยด์และปรับการใช้ยาให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ การซื้อยาหรือการปรับยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจเป็นอันตราย
2. การรับประทานแร่รังสีไอโอดีน เป็นวิธีการรักษาภาวะไทรอยด์เกินที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจไม่เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร และอาจทำให้เกิดภาวะพร่องไทรอยด์เรื้อรังจากการทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ได้
3. การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่ต่อมไทรอยด์ขยายใหญ่ผิดปกติหรือมีภาวะผิดปกติจากฮอร์โมนไทรอยด์อย่างรุนแรง เมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล หรือภาวะไทรอยด์กลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษาด้วยวิธีอื่น หรือในกรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้
การผ่าตัดไทรอยด์มีทั้งสองวิธีหลัก คือ การผ่าตัดแบบเปิดและการผ่าตัดไร้แผล
- การผ่าตัดแบบเปิด (Conventional Thyroidectomy) คือการผ่าตัดเพื่อเอาต่อมไทรอยด์ออกโดยการทำแผลที่บริเวณลำคอด้านหน้า วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากแพทย์สามารถตรวจสอบและตัดก้อนไทรอยด์ขนาดใหญ่ได้ชัดเจน รวมถึงการตัดต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงที่อาจเกี่ยวข้องกับโรค แต่การผ่าตัดนี้จะทิ้งรอยแผลที่คอ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสวยงามและความมั่นใจได้ อีกทั้งยังอาจมีผลกระทบต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล่องเสียง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเสียงแหบหรือพูดลำบาก
- การผ่าตัดแบบไร้แผล (Scarless Thyroidectomy) เป็นการพัฒนาจากการผ่าตัดไทรอยด์แบบแผลเล็กที่ทำผ่านทางรักแร้ แม้ว่าวิธีนี้จะสามารถทำได้ยากกว่าการผ่าตัดแบบเปิด เนื่องจากระยะทางจากรักแร้ไปถึงไทรอยด์ค่อนข้างไกล หากต้องผ่าตัดทั้งสองข้างก็จำเป็นต้องทำผ่านรักแร้ทั้งสองข้าง อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีข้อดีที่ทำให้แผลไม่ปรากฏบนผิวหนังที่มองเห็นได้ และช่วยให้แผลหายเร็ว ไม่เกิดพังผืด เสียเลือดน้อย และไม่ส่งผลกระทบต่อกล่องเสียง ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ถึงแม้การผ่าตัดแบบไร้แผลจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้ในกรณีที่มีก้อนไทรอยด์ขนาดใหญ่เกิน 6 ซม. หรือเมื่อผลการตรวจชิ้นเนื้อพบว่าไม่ใช่มะเร็ง นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เคยผ่านการผ่าตัดบริเวณคอหรือคาง หรือเคยได้รับการฉายแสงในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อน รวมถึงผู้ที่ยังไม่พบความผิดปกติในการทำงานของต่อมไทรอยด์ก่อนการผ่าตัด
ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ผิดปกติอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม เช่น น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง รวมถึงระบบอื่นๆ ในร่างกาย การพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
บทความโดย : นพ.พรพีระ จิตต์ประทุม ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดไทรอยด์ไร้แผลเป็น โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์