
งูเป็นสัตว์เลือดเย็นที่สามารถอาศัยได้ในหลากหลายสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย ป่าฝน หนองน้ำ หรือทุ่งหญ้า นอกจากนี้ยังมีงูหลายชนิดที่สามารถพบได้ในรัฐโคโลราโด เนื่องจากงูไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายของตัวเองได้ พวกมันจึงต้องหาสถานที่อบอุ่น โดยในช่วงฤดูหนาว งูจะจำศีลอยู่ในรูใต้ก้อนหินหรือในอุโมงค์ และบางครั้งอาจหลบเข้าไปในบ้านมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราได้ หากสุนัขของคุณถูกงูกัดจะต้องทำอย่างไร
หากสุนัขถูกงูกัด เราสามารถปฐมพยาบาลได้หรือไม่
ประมาณ 80% ของสัตว์เลี้ยงที่ถูกงูกัดจะสามารถรอดชีวิตได้หากได้รับการรักษาอย่างทันเวลา ดังนั้นการตอบสนองอย่างรวดเร็วจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งรวมถึงการสังเกตอาการเริ่มต้นของการถูกงูกัดและรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันที แม้ความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่คุณควรสังเกตอาการเหล่านี้ในสุนัขของคุณ
เมื่อสุนัขถูกงูกัด สัญญาณที่เห็นได้ชัดคือรอยเขี้ยวสองจุดที่บริเวณที่ถูกกัด สุนัขจะรู้สึกเจ็บและอาจร้องหรือเดินขากะเผลกหากถูกกัดที่ขา พิษของงูแต่ละชนิดจะมีผลกระทบต่อร่างกายที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นประเภทหลักๆ ดังนี้
- พิษประสาท (Neurotoxins):
- พิษทำลายกล้ามเนื้อ (Myotoxin): ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการปวดเมื่อยรุนแรง กล้ามเนื้อแข็ง และปัสสาวะมีสีเข้ม พบได้ในพิษจากงูทะเล
- พิษทำลายเม็ดเลือด (Hemotoxins): ทำให้เลือดออกง่าย มีรอยช้ำ และเลือดแข็งตัวช้า พบได้ในพิษจากงูกะปะ งูเขียวหางไหม้ และงูแมวเซา
วิธีการดูแลเบื้องต้นเมื่อสุนัขถูกงูกัด
การพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญมาก หากถูกงูกัด การรักษาทันท่วงทีจะเพิ่มโอกาสในการหายได้เร็วขึ้น ระหว่างที่พาไปโรงพยาบาลสัตว์ คุณสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้สุนัขได้เพื่อบรรเทาอาการและเพิ่มความปลอดภัยให้กับน้องหมา
- ล้างแผล: ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือล้างบริเวณที่ถูกกัดเพื่อล้างพิษออกให้มากที่สุด
- อย่ามัดแผล: ห้ามมัดแผลเพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหายได้
- เก็บหลักฐาน: หากเป็นไปได้ ควรเก็บซากงูหรือถ่ายรูปไว้เพื่อให้สัตวแพทย์สามารถเลือกเซรุ่มที่เหมาะสมได้
- รีบพาสุนัขไปหาหมอ: ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม