
เมื่อเรานึกถึง "บัว" มักจะคิดถึงดอกที่สวยงาม แต่จริงๆ แล้วบัวนั้นมีคุณค่ามากกว่าดอก เพราะทุกส่วนของมันตั้งแต่รากจนถึงดอกก็มีประโยชน์ โดยเฉพาะเมนูที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างรากบัว สายบัว และไหลบัว ซึ่งหลายคนอาจจะสับสนระหว่าง "ไหลบัว" กับ "สายบัว"
ความแตกต่างระหว่างไหลบัวและสายบัว
ไหลบัว หรือ หลดบัว คือหน่ออ่อนที่เจริญเติบโตขึ้นเป็นต้นบัวใหม่ มีลักษณะเป็นก้านยาว สีเหลืองนวล เนื้อแข็งและปลายเรียวแหลม แตกต่างจากสายบัวที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม และเมื่อกดแล้วจะยุบตัวได้
ไหลบัวได้รับการยอมรับในตำราสมุนไพรไทยว่าเป็นยาเย็นรสจืด ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ เนื่องจากมีใยอาหารสูง
คุณสมบัติของไหลบัว:
- ช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย
- เสริมสุขภาพหัวใจ
- ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก
- ดับกระหาย
- บำรุงปอด
- ช่วยลดไข้
- ช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
วิธีการบริโภคไหลบัว:
- ล้างไหลบัวให้สะอาด แล้วปอกเปลือก
- นำไปต้มหรือนึ่งให้สุก
- สามารถรับประทานสด หรือ นำไปทำอาหาร เช่น แกงส้ม ต้มยำ ผัด
สายบัว คือส่วนก้านดอกของบัว ซึ่งมักนำมาทำอาหาร มีหลากหลายสีตามพันธุ์ เนื้อกรอบและฉ่ำน้ำ เมื่อกดแล้วจะยุบลง นิยมใช้ในอาหารทั้งที่มีลักษณะนุ่มและกรุบกรอบ ซึ่งต่างจากไหลบัวที่เนื้อแข็ง
ประโยชน์ของสายบัว:
- ช่วยบรรเทาอาการเกร็งในลำไส้และกระเพาะอาหาร
- ช่วยแก้ท้องผูก
- ช่วยขับปัสสาวะ
- ช่วยลดอาการพิษร้อนในร่างกาย
- ช่วยคลายเครียด
- ช่วยบำรุงเลือด
- ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน
- ช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
- บำรุงหัวใจ
- ช่วยป้องกันมะเร็ง
รากบัว
รากบัว คือเหง้าของบัวที่เจริญเติบโตอยู่ใต้น้ำ มีลักษณะเป็นท่อนยาวที่แบ่งเป็นปล้องๆ เมื่อหั่นตามขวางจะเห็นรูที่เรียงกันเป็นวงกลม เนื้อรากบัวมีสีขาวอมเหลืองหรือสีงาช้าง
คุณสมบัติของรากบัว:
- ช่วยบรรเทาร้อนในและกระหายน้ำ: รากบัวมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดอาการร้อนในและกระหายน้ำ
- ช่วยลดไข้: รากบัวช่วยบรรเทาอาการไข้
- ช่วยบรรเทาอาการไอ: รากบัวมีสรรพคุณช่วยลดอาการไอ
- ช่วยบำรุงร่างกาย: รากบัวมีคุณค่าทางอาหาร ช่วยเสริมกำลัง
- ช่วยขับปัสสาวะ: รากบัวช่วยขับปัสสาวะ
- ช่วยเสริมฤทธิ์ยานอนหลับ: รากบัวช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
เมนูอาหารจากรากบัว:
- แกงจืดรากบัว
- ยำรากบัว
- ต้มรากบัว
- รากบัวผัดไข่
- น้ำรากบัว