หากพูดถึงนักแสดงเด็กหญิงที่มีคาแรกเตอร์สุดฮาและทรงผมม้าเต่อ หลายคนคงนึกถึง กัจนฐานียา ศรีโรจน์วัฒนะ หรือ “คิตตี้” เด็กสาวจอมกวนสุดน่ารักที่มีการแสดงอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถสร้างเสียงหัวเราะได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ทำให้เธอก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างรวดเร็ว และได้รับโอกาสแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น 32 ธันวา, สุดเขตสเลดเป็ด, ส.ค.ส. สวีตตี้ และยังมีงานละครอีกมากมาย จนตอนนี้ “คิตตี้” ก็เข้าสู่วัยเบญจเพสเต็มตัว สดใสและยังคงความซ่าเหมือนเดิม

จุดเริ่มต้นของ “คิตตี้” ก่อนเข้าสู่วงการบันเทิงมาจากคุณยาย?
ใช่ค่ะ ตอนเด็ก ๆ หนูชอบร้องเพลงและเข้าประกวดร้องเพลงอยู่บ่อย ๆ พ่อแม่ก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ จนวันหนึ่งยายเห็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่ามีการคัดเลือกนักแสดงจากค่ายสหมงคลฟิล์ม ยายจึงถามหนูว่าอยากเป็นดาราไหม แล้วพายายนั่งรถจากอุบลราชธานีเข้ามาแคสต์งานนี้ จนได้บทเป็น Extra ในเรื่องโจรสลัดตาเดียวกับเด็กสามร้อยตา ตอนนั้นหนูอายุแค่ 6 ขวบ และพอดีว่ามีน้องสาวของยายเป็นช่างแต่งหน้าในกองถ่าย ก็พาไปทำงานด้วย จึงได้เจอกับผู้กำกับละครที่ให้เราแสดงให้ดู และร้องเพลงร้องไห้ ซึ่งหนูก็ทำได้ไม่มีเขินอาย จนได้เริ่มแสดงในละคร และเริ่มรู้จักคนในวงการบันเทิง ทำให้มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ
เรื่องไหนที่ทำให้ “คิตตี้” กลายเป็นที่รู้จักในวงการบันเทิง?
หนูเริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบปลาย ๆ แต่เริ่มเป็นที่รู้จักจริงจังเมื่ออายุ 9 ขวบจากการแสดงในหนังเรื่องอรหันต์ซัมเมอร์ โดยรับบทเป็นเด็กผู้หญิงจอมแก่นที่ไล่จีบผู้ชาย จีบเณรบ้าง จีบโจรบ้าง ซึ่งเป็นบทที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในยุคนั้นจริง ๆ โดยบทนกเอี้ยงในเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นมาใหม่โดยพี่เขา เพราะเห็นว่าคาแรกเตอร์ของหนูเหมาะสม ถ้าให้เล่นบทที่เรียบร้อยก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ ฟีดแบกจากเรื่องนี้ดีมาก คนเริ่มรู้จักหนูเยอะ นักข่าวมาสัมภาษณ์และถือเป็นภาพที่เกินฝันไปเลย

แล้วจริง ๆ ความฝันของคิตตี้คืออยากเป็นนักร้องใช่ไหม?
จริง ๆ แล้วหนูมาแคสต์หนังเพราะว่าหนูอยากเป็นนักร้องค่ะ หนูชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยคิดว่าถ้าเล่นหนังอาจจะมีโอกาสได้ไต่เต้าไปเป็นนักร้องได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นนักร้องค่ะ (หัวเราะ) แต่ช่วงหนึ่งหนูเคยไปประกวดในรายการ The Voice Kids ตอนนั้นอายุ 16 ปี ซึ่งทางรายการรับเด็กที่อายุไม่เกิน 16 ปี และสำหรับ The Voice ผู้ใหญ่จะรับที่อายุ 18 ปีขึ้นไป หนูเลยคิดว่าโอกาสสุดท้ายคงอยู่แค่ตอนนี้ พอไปแคสต์ก็ผ่านเข้ารอบได้ถึง Battle และถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากค่ะ
เหมือนหายไปจากหน้าจอเลย ช่วงนี้ไปทำอะไรมาบ้าง? ช่วยอัปเดตให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึงหน่อยค่ะ
ช่วงนั้นวงการบันเทิงมันมีช่วงที่เรียกว่าไม่เด็กแล้วก็ไม่โต เพราะเล่นเป็นเด็กประถมก็ไม่ได้เพราะดูโตเกินไป แต่จะเล่นเป็นเพื่อนนางเอกก็ยังดูเด็กอยู่มาก ถ้าหนูสวยกว่านี้อาจจะเล่นหนังวัยรุ่นได้ง่าย ๆ แต่เพราะบทที่หนูได้รับมันเฉพาะมากเลยช่วงนั้นเลยมีหายไปบ้าง แต่จริง ๆ หนูก็ยังมีงานละครอยู่บ้างค่ะ มีเรื่องวิญญาณแพศยาที่กำลังจะออกอากาศทางช่อง 8 แต่ไม่ค่อยมีละครให้เลือกเยอะเหมือนตอนเด็ก ๆ และบทก็น้อยลงไปมากค่ะ

ชอบทำงานมาตั้งแต่เด็ก ว่างจากละครก็ไปรับงาน Part Time
ในช่วงที่หนูไม่ได้ถ่ายละคร หนูก็จะขอแม่ไปทำงานพิเศษ ซึ่งแม่ค่อนข้างหวงหนูมาก ไม่ให้ไปไหนหรือเที่ยวกับเพื่อนเลย แต่หนูขอจนแม่ยอม ครั้งนั้นหนูบอกแม่ว่าอยากทำงาน เพราะถ้าหนูทำงานได้เงินอย่างน้อยเดือนหนึ่งจะมีเงินถึงเท่านี้เลย แม่ก็เลยยอมให้ทำ หนูก็ไปทำงานที่ร้านอาหาร ร้านไอศกรีม หนูชอบงานบริการและทำแล้วรู้สึกสนุก บางครั้งก็มีลูกค้ามาทักจำได้ แต่หนูก็ยังคงตัวเองไม่คิดว่าดังเพราะทำงานที่เราไม่รู้ว่าผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง
ตั้งแต่เข้าวงการมาจนถึงตอนนี้ คิดว่าวงการบันเทิงให้อะไรกับเราบ้าง
วงการบันเทิงให้เยอะเลย ทั้งงานและเงิน ช่วยให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น หนูภูมิใจที่ทำเงินได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยเสียดายเลย มันเป็นโอกาสที่หลายคนอยากมี แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสแบบหนู ขอบอกว่าไม่ง่ายเลย หนูไม่ได้เข้าไปเพราะหน้าตาหรือมีใครช่วย หนูเริ่มจากการเป็นตัวประกอบ รับเงิน 300-500 บาท แต่คิดว่าเป็นจังหวะชีวิตที่ช่วยให้ได้บทดีๆ จนมีคนรู้จักและโอกาสเข้ามามากขึ้น
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มีเงินหลักล้านตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ รู้สึกยังไงบ้าง
สิ่งแรกที่หนูเรียนรู้คือไม่เหลิง เพราะพื้นฐานครอบครัวไม่ได้รวย หนูจำได้ว่าช่วงที่ช่วยแม่ขายเสื้อผ้าที่ตลาดนัด หนูเป็นเด็กพูดเก่ง ขายเสื้อผ้าได้สนุกมาก ลูกค้าชอบถามอยู่บ่อยๆ แต่หนูก็ยังคงเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก ไม่เคยกลัวคน ด้วยความที่เราไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง เราจึงรู้จักการทำงานมาตั้งแต่เด็ก ช่วยแม่แบกของใส่รถเข็น พอมีเงินก็ไม่เคยหลงกับมัน ไม่เคยซื้อของแบรนด์เนม ยังคงใช้ชีวิตปกติ แต่ก็มีความสุขและพอใจกับการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ล่าสุดเกิดดราม่าเรื่องชุด เราจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?
หนูไม่เหมือนนักแสดงคนอื่นที่ไม่อ่านหรือไม่ตอบกลับ หนูก็เป็นคนธรรมดาที่ติดตามข่าวสาร อ่านคอมเมนต์ไปเรื่อยๆ พอเจอคอมเมนต์ที่ล้ำเส้นก็สวนกลับไปเลย ไม่ทน (หัวเราะ) หนูไม่เครียดกับคำพูดที่คนพูด แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับคนรอบตัว เช่น แม่หรือยาย ถ้าท่านไปเห็นท่านอาจจะไม่เข้มแข็งเท่าเรา แต่หนูไม่เก็บคำพูดเหล่านั้นมาคิด เพราะสิ่งที่ทำไม่ได้ผิดอะไร หากคุณพูดในกรอบผลงานหนูก็เข้าใจได้ แต่ถ้าคุณพูดล้ำเส้นหรือใส่ร้าย คงไม่ทนเหมือนกัน
ตอนนี้อายุ 25 ปีแล้ว มีมุมมองชีวิตเป็นอย่างไร?
ตอนนี้ชีวิตถือว่าโอเค ไม่ถึงกับประสบความสำเร็จอย่างที่ฝันตอนเด็กๆ แต่ก็มีความสุขทุกวัน ตื่นมามีข้าวกิน มีงานทำ มีเงินใช้ ทุกอย่างเพียงพอแล้ว ตอนเด็กๆ อาจจะหวังไว้เยอะ แต่พอโตมา ความคิดและเป้าหมายก็เปลี่ยน ตอนนี้ยังไม่รู้จะตั้งเป้าหมายใหม่เมื่อไหร่ แต่ก็โอเคกับชีวิตตอนนี้ เราโชคดีมากที่ได้โอกาสมากกว่าหลายคน แต่บางครั้งก็อยากกลับไปใช้ชีวิตที่ไม่เป็นที่รู้จัก อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนคนทั่วไป แต่ก็รู้ว่าในชีวิตมีข้อดีจากการที่คนรู้จักเรา การที่มีคนรู้จัก ก็ทำให้เรามีโอกาสมากขึ้นในงานต่างๆ เช่น งานร้องเพลง งานรีวิว ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งดีในชีวิต

ตอนนี้เป้าหมายยังเหมือนเดิมใช่ไหม คืออยากเป็นนักร้อง?
ตอนนี้เป้าหมายของหนูชัดเจนแล้ว คือการเป็นนักร้อง แต่ในวัยเด็กๆ เคยมีความฝันอยากเป็นดาราดังด้วย แต่ถามว่าหนูรักการแสดงไหม ก็ยังรักอยู่ แต่ในตอนนี้สิ่งที่หนูมุ่งมั่นที่สุดคือการเป็นนักร้อง เป็นเป้าหมายที่หนูมีมาตลอดตั้งแต่ 3 ขวบ คงเป็นเพราะพ่อหนูเป็นนักร้องมาก่อน อาจจะเป็นไปตามสายเลือดก็ได้
แล้วหนูมีวิธีตั้งเป้าหมายในการตามความฝันเป็นนักร้องยังไงบ้าง?
จริงๆ แล้วหนูไม่ค่อยกล้าตั้งเป้าหมายสูงเกินไป แต่ก็มีภาพในใจที่อยากเห็น คืออยากจัดคอนเสิร์ตของตัวเองสักวันหนึ่ง อยากให้คนมาฟังเพลงของเรา อยากให้พวกเขาซื้อบัตรมาแล้วมาชมการแสดงของเรา แต่หนูไม่อยากกดดันตัวเองมากเกินไป เพราะคิดว่ามันต้องใช้เวลาและโอกาส ตอนนี้ก็พยายามหาช่องทางที่เปิดออดิชั่น และส่งผลงานไป หวังว่าจะมีวันหนึ่งที่เป็นของเรา เพราะตรงๆ แล้วหนูไม่ได้เป็นคนที่เห็นแล้วทำให้คนว้าวหรือประทับใจในตัวเอง แต่ถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสเจอค่ายที่เห็นศักยภาพของเรา จริงๆ นั่นแหละที่หนูรอ

สุดท้ายแล้ว คิตตี้มีอะไรอยากฝากถึงคนที่ติดตามเรา หรือคนที่พึ่งมาติดตามเราจากข่าว อยากบอกอะไรมั๊ย?
ฝากไว้เป็นข้อคิดนะคะ บางทีอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องของหนูคนเดียว แต่ยังรวมถึงคนอื่นด้วย คนเรามีบทบาทและมุมมองที่แตกต่างกัน ในแต่ละบทบาทก็จะเป็นคนละแบบกัน บางทีในชีวิตจริงก็อาจจะเป็นอีกแบบ ช่วงเวลาช่วงอายุก็เปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม หนูอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ถ้าจะเกลียดหนู ก็ลองดูไลฟ์สไตล์ของหนูก่อน ถ้าคุณเกลียดในตัวตนของหนูจริงๆ ก็โอเค เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ถ้าแค่เห็นภาพเดียวแล้วตัดสินว่าเราเป็นคนไม่ดีหรือเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมเลยค่ะ หนูเชื่อว่าใครที่ได้รู้จักหนูจริงๆ ก็จะหลงรัก เพราะหนูจะเป็นมิตรกับทุกคนมากๆ อยากให้ทุกคนใจดีกับหนูบ้าง แล้วก็อยากให้ติดตามผลงานของหนูที่ค่อยๆ เติบโตไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากให้เขารับรู้และยอมรับในตัวตนของหนูด้วยค่ะ