หากเราจะเปรียบแม่ลูกที่มีความสัมพันธ์ที่เหมือนกันว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" แต่สำหรับก้อย นฤมล และ ออม กรณ์นภัส แม่ลูกคู่นี้กลับมีความพิเศษที่แตกต่างออกไป เพราะก้อย นฤมล พงษ์สุภาพ อดีตนางเอกละครพื้นบ้านชื่อดัง "แก้วหน้าม้า" และนักแสดงที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี กับลูกสาวคนโตอย่าง ออม กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ นักแสดงดาวรุ่งจากบท “ดาหวัน” ในละคร “แค้น” และ “รีรี่” เพื่อนนางเอกในละคร “มาตาลดา” สองนักแสดงที่ต่างยุคแต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอเป็นคู่แม่ลูกที่ "แตกต่างแต่ใกล้ชิด" ซึ่งสนิทกันมาก ๆ ท่ามกลางโลกที่หมุนไปเร็วและอาจทำให้คนในครอบครัวเหินห่าง แต่พวกเธอกลับใกล้ชิดกันเสมอ
ในโอกาสวันแม่ปีนี้เราขอชวนทุกท่านมาทำความรู้จักกับ "แม่ก้อยและน้องออม" ในบทบาทของแม่ลูกในชีวิตจริง ให้คุณได้สัมผัสความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผ่านการพูดคุยที่จะทำให้ทุกคนอมยิ้มไปกับความสดใสและความน่ารักที่เปี่ยมไปด้วยความรักของพวกเธอ

"จังหวะชีวิตเดียวกัน"
แม่ก้อย นฤมล เริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 17 ปี จากการประกวด New Star Award ในปี 2538 ซึ่งเป็นโปรเจกต์แรกของวงการที่จัดโดยนิตยสารทีวีพูล จากสาวมัธยมปลายผมสั้นที่กลายมาเป็นนักแสดงช่องสามผ่านบทบาทหลากหลายทั้งตัวละครหลักและสมทบ เช่น ไอ้คุณผี รักเดียวของเจนจิรา รุ้งสามสาย สามีเงินผ่อน แก้วหน้าม้า ทางผ่านกามเทพ หนึ่งในทรวง ฯลฯ หลังจากแต่งงาน เธอลดการแสดงเพื่อมุ่งมั่นดูแลครอบครัว จนมีลูกสาวคนโตและลูกชายคนเล็กที่อายุห่างกัน 7 ปี แม้จะเน้นชีวิตที่เรียบง่าย แต่ด้วยความรักในอาชีพนักแสดง ทำให้เธอมีผลงานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้ไม่ได้วางแผนให้ลูก ๆ เข้าวงการ แต่เมื่อ ออม เติบโตขึ้นมาถึงวัย 17 ปี โอกาสที่เธอจะเข้าสู่วงการบันเทิงก็เกิดขึ้นในจังหวะชีวิตเดียวกันกับแม่
น้องออม : เรื่องมันเริ่มจากเพื่อนของแม่ส่งโบรชัวร์เปิดแคสให้หนู แล้วตอนนั้นหนูก็ไม่อยากไปหรอก แต่สุดท้ายก็ไปแคสกับพี่เป็ป (ณพสิทธิ์ เที่ยงธรรม) โดยที่พี่เป็ปไม่รู้ว่าหนูเป็นลูกแม่ พอแคสเสร็จผลออกมาคือหนูได้เลย ทำให้หนูตกใจมาก
แม่ก้อย : คิดว่าน่าจะเป็นเพราะคาแรกเตอร์ตรงกับหนูด้วย เพราะในเรื่องต้องเล่นเป็นนักศึกษาฝึกงานในครัว ก็เลยทำให้หนูได้บทนั้น แล้วพอได้แล้วพี่เป๊ปก็โทรมาด่าทันทีเลย
น้องออม : พี่เป๊ปบอกว่า ทำไมไม่บอกว่าหนูเป็นลูกแม่ (เสียงสูง)
แม่ก้อย : ก็ลูกแกทำไมไม่บอกล่ะ (หัวเราะ) แล้วหลังจากที่ช่อง 3 เห็นหนูก็เลยได้เซ็นสัญญาเข้าทำงานที่นั่น
น้องออม : หลังจากนั้นหนูก็ทำงานในช่อง 3 มาเรื่อย ๆ ค่ะ
แม่ก้อย : เรื่องของก้อยมันก็เป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกันค่ะ มีคนชวนให้มาทำการประกวด ซึ่งเป็นเวทีนิวสตาร์วอร์ดของทีวีพูล และเป็นปีแรกและปีเดียว คนที่ได้ที่หนึ่งก็คือพี่กิ๊ก มยุริญ ส่วนก้อยได้ที่ 3 ค่ะ ส่วนออมก็เคยแข่งขันเหมือนกัน แต่ไม่ได้ขึ้นเวทีเท่านั้นเอง ดวงของเราก็คล้ายกัน เพราะได้เข้าวงการในช่วงเวลาเดียวกันกับแม่ คือช่วงม.5 ม.6 ซึ่งอาจจะเป็นช่วงที่เด็ก ๆ กำลังหางานหรือกำลังร้อนเงินก็ได้ (หัวเราะ)

เด็กน้อยขี้อาย
โตมาเป็น “รีรี่”
เมื่อถามถึงวัยเด็ก แม่ก้อยเล่าว่า น้องออมเป็นเด็กที่ขี้อาย จึงไม่เคยคิดว่าลูกสาวจะเติบโตมาเป็นนักแสดงในวันนี้ แต่หากย้อนกลับไปมองก็ยังมีเหตุการณ์บางอย่างที่แสดงออกถึงความสามารถตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ
แม่ออม : ตั้งแต่เด็กน้องออมก็มีแววแล้วค่ะ คือชอบอัดวิดีโอและสร้าง YouTube ตั้งแต่ตอนอายุ 3-4 ขวบ ในช่วงอนุบาล เคยแต่งเพลงและกลอนตลก ๆ ซึ่งแม่ก็เคยจดเอาไว้เลยว่าหนูพูดอะไรบ้าง แต่ในที่สาธารณะหนูจะไม่ค่อยกล้าแสดงออก
น้องออม : ตอนเด็ก ๆ หนูจำได้ว่าแม้แต่ตอนสั่งข้าวหนูยังไม่กล้าเลยค่ะ มันถึงขนาดนั้น
แม่ก้อย : เพราะเป็นเด็กผู้หญิงที่มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณน้า คุณอาคอยดูแลตลอด ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก พอไปไหนก็มีคนคอยจูงไปตลอด เค้าก็เลยเป็นเด็กที่หวาน ๆ และไม่กล้าให้คนแปลกหน้ามาจับตัว แต่เดี๋ยวนี้นะ โอ้โห! แมนมาก! โตมาจนเป็นแบบแมนสุด ๆ เคยดู “มาตาลดา” ไหมคะ? รีรี่คือออมเลย คือนิสัยแมนมาก! ถ้ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เรานอยด์ แค่คุยกับเขาคำเดียวก็ทำให้หายหมด เค้าคล้ายพ่อมากเลยค่ะ ออมใจแข็งแรงมาก คนที่ทำงานกับออมจะรู้ว่าเค้าจะแมน ๆ แต่ถ้าต้องการความหวานจากออมก็ยากหน่อย เพราะออมจะเป็นคนแบบแมน ๆ เหมือนรีรี่ เพราะฉะนั้นคนจะชอบรีรี่มาก เพราะมันคือนิสัยของออม
น้องออม : หนูรู้สึกว่าตัวละครรีรี่ใกล้เคียงกับตัวเองมากที่สุด แทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยค่ะ
แม่ก้อย : บางวันออมก็ไม่ทำผมเลยนะ ไปจากมหาวิทยาลัยก็ทรงนั้นแหละ เป็นตัวจริงของออมเลยค่ะ เป็นเด็กสมัยใหม่มาก ช่วยเหลือตัวเองได้ดีมาก ถ้าออมอยู่บ้านก็ไม่ต้องห่วงเลย ออมจะทำทุกอย่างเอง ไม่ว่าจะล็อกบ้าน เก็บบ้านเรียบร้อยแล้ว และออมก็ไม่ชอบเที่ยว ชีวิตประจำวันของออมคือจะเน้นทำงานบ้าน ชอบซักผ้า ถูบ้านมากกว่าค่ะ
น้องออม : จริงๆ ต้องเล่าก่อนนะคะ เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนโลกสวยไปหน่อย คือที่หนูชอบทำเพราะรู้สึกว่าถ้าบ้านมันรกหรือไม่มีระเบียบ หนูอยู่ไม่ได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าหนูเป็นคนอนามัยอะไรนะคะ แต่ว่าเวลาหนูเดินขึ้นห้องจากชั้นล่างแล้วต้องเดินลงมาหยิบของแล้วมันสกปรก หนูก็จะล้างเท้าใหม่เสมอค่ะ อาจจะไม่เรียกว่าชอบความสมบูรณ์แบบก็ได้ เพราะบางวันห้องก็รกเหมือนกันนะคะ
แม่ก้อย : ออมเป็นเด็กที่ค่อนข้างพิเศษตั้งแต่เล็กเลยค่ะ คือจะต้องใส่ถุงเท้าตลอดเวลา ถ้าไม่ใส่ถุงเท้าเดินไม่ได้เลย ไม่ชอบเดินเท้าเปล่าเลย
น้องออม : เรื่องนี้จริงเลยค่ะ คือไม่ยอมเดินถ้าไม่ได้ใส่ถุงเท้า
แม่ก้อย : แต่ถ้าไม่ใส่รองเท้าไม่เป็นไรนะคะ แต่ถ้าไม่ใส่ถุงเท้าไม่ได้เลยค่ะ มันแปลกนะ เรื่องพวกนี้แม่แทบจะไม่ได้สอนอะไรเลย เกี่ยวกับความสวยงามของลูกเลยค่ะ ไม่ค่อยไปยุ่งอะไรมากมาย ถ้าสอนมากกว่านี้ตอนนี้ลูกคงสวยกว่านี้ (หัวเราะ)


คำสอนในความทรงจำ
ไม่มีคำว่า “บังคับ”
ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก แต่ทั้งคู่ยังมีความสัมพันธ์เหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องในวงการบันเทิงอีกด้วย น้องออมเล่าถึงคำสอนของแม่ก้อยในวัยเด็กว่า แม่สอนในทุกเรื่อง แต่ไม่เคยบังคับให้เลือกทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหรืออาชีพที่อยากทำตอนโต สิ่งที่ออมเลือกในวันนี้เป็นการตัดสินใจของออมเอง แต่หากเป็นเรื่องงาน ออมต้องยึดตามคำสอนของแม่
น้องออม : คุณแม่ไม่ได้บังคับอะไรเลยค่ะ เค้าบอกแค่ว่าต้องมีระเบียบวินัยในชีวิตและขอให้รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หนูเรียนสายศิลป์ภาษามา แต่โชคดีที่หนูทำเลขได้ดี เลยไปเรียนเศรษฐศาสตร์อินเตอร์ มันเป็นเรื่องที่หนูไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้เลยค่ะ จริง ๆ มันเป็นเรื่องของโชคมากกว่าค่ะ
แม่ก้อย : ใช่ค่ะ ชีวิตออมจะค่อนข้างตื่นเต้นและมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าฉันมาก ส่วนฉันจะเรียบง่ายและเป็นแม่บ้านไม่มีอะไรซับซ้อน เรื่องการเชื่อฟังพ่อแม่มันอยู่ในใจของลูกอยู่แล้ว แต่ฉันจะบอกลูกเสมอว่าเราต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง ต้องเรียนให้จบ และตอนนี้ที่ทำงานก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด
น้องออม : แม่จะบอกเสมอว่า ‘เชื่อแม่สิว่าแบบนี้มันดี’ แต่ว่าช่วงที่หนูดื้อจริง ๆ คือช่วงที่ข้ามจาก ม.6 ไป ปี 1 ซึ่งตอนนั้นหนูไม่เชื่อแม่เลย รู้สึกว่าแม่พูดแล้วมันไม่เห็น make sense เลย แต่พอเวลาผ่านไปทำตามที่แม่บอกทีละขั้นก็รู้สึกว่า ‘อุ๊ย! มันจริงอย่างที่แม่บอกเลย’ และหนูก็เลือกที่จะทำตามคำแนะนำของแม่ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีอะไรผิดพลาดเลย จนตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรระหว่างเรา
แม่ก้อย : บางครั้งเรื่องวินัยเล็ก ๆ น้อย ๆ เราจะค่อย ๆ สอนและทำทุกวัน สอนทุกเวลา บางครั้งลูกอาจจะรำคาญก็จะเตือนว่า ‘ตอนนี้รำคาญแม่ไปก่อนนะ’ บางทีแม่อาจจะบ่นเยอะไปหน่อย แต่แม่ก็ทำไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ เพราะอย่างน้อยถ้ามันเกิดขึ้น มันก็จะไม่ใหญ่มาก
น้องออม : จริง ๆ หนูเห็นด้วยนะว่า การพูดบ่อย ๆ จะช่วยไม่ให้เกิดปัญหาต่อไป หนูรู้สึกว่าแม่ไม่เคยบังคับอะไรหนูเลย หรืออาจจะซึมซับมาจากการเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กก็ได้ นี่เป็นความคิดเห็นของหนูค่ะ

Mytour: สิ่งที่น้องออมยึดถือในการทำงานจากประสบการณ์ที่คุณแม่สอนคืออะไร
น้องออม : วินัยค่ะ หนูมองว่า การทำการบ้านและการทำความเข้าใจบทมันสำคัญมาก ถ้าเราไม่ทำการบ้านแล้วจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ยังไง เนื่องจากหนูยังไม่ได้เก่งขนาดนั้น ก็ต้องฝึกฝนอยู่ตลอด แต่สิ่งที่เราต้องทำคือทำการบ้านอย่างเต็มที่ ช่วงหลัง ๆ เจอบทที่ต่างจากชีวิตเรามาก ๆ อย่างเช่นในละคร ‘ดาหวัน’ หรือ ‘แค้น’ มันไกลตัวมากเลยค่ะ ทำให้ต้องทำการบ้านหนักขึ้น และเพราะหนูยังมีประสบการณ์น้อยก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เยอะ ๆ และต้องใช้สมาธิในการแสดงด้วย เพราะบางบทมันยาวและยาก บางครั้งยังต้องเดินไปเดินมาพร้อมกับการคุยและหยิบของ การทำการบ้านและการใช้สมาธิมาก ๆ จึงสำคัญมากค่ะ
แม่ก้อย : การแสดงละครไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นกันนะคะ ไม่ใช่ว่าแค่ท่องบทแล้วพูดได้เลย การแสดงมันต้องมีเทคนิค การดีไซน์ที่ใช้ในชีวิตจริงมาใช้ตลอดเวลา เราต้องเลียนแบบมนุษย์ให้ได้มากที่สุด สำหรับละครวัยรุ่นมันจะมีแอ็คติ้งที่ต่างจากปกติ ต้องเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง เรื่องการทรีต การรักษาวินัยหรือขนบธรรมเนียมแต่ละกองถ่ายก็ไม่เหมือนกัน ออมต้องเรียนรู้ให้ได้ เพราะปกติแม่ไม่ได้ไปกองถ่ายกับเขาเลย แม่จะบอกให้ออมดูเองว่าเค้าทำยังไงกัน
แม่ก้อย : แต่ว่าแม่ก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่องนะคะ จริง ๆ แล้วแม่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกันค่ะ
น้องออม : อยู่มาเกือบ 30 ปี เก่งแล้วค่ะ (หยอกแม่)
แม่ก้อย : ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ (หัวเราะ)
ความสนิทลดช่องว่าง
บนความแตกต่างของโลกสองยุค
การสนทนาระหว่างแม่ลูกทั้งสองมีการเปรียบเทียบถึงความแตกต่างในยุคสมัยทั้งในด้านการทำงาน การเรียนรู้ รวมถึงความสะดวกสบายในหลาย ๆ ด้านที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ในยุคของแม่ก้อย การเดินทางลำบากและไม่มีครูสอนการแสดง ต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง ขณะที่น้องออมกลับสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วในหลาย ๆ ด้าน และได้รับบทที่หลากหลายกว่า ทั้งสองคนก็กล่าวตรงกันว่า “ไลฟ์สไตล์ของเราคล้ายกัน” มีเพียงบางเรื่องที่ต่างกัน เช่น อาหารที่ชอบ และบางความคิดในบางเรื่อง
น้องออม : จริง ๆ แล้วเราเหมือนกันมากเลยค่ะ ทำอาชีพเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน ไลฟ์สไตล์ก็เหมือนกันหมดเลย ถ้ามีความเห็นที่ต่างกันเราจะคุยกัน เช่น เหมือนทำไมแม่คิดแบบนี้ แต่หนูคิดว่าแบบนี้ดีกว่า ความคิดมันจะมีความแตกต่างกันตามอายุอยู่แล้ว แต่เราก็พูดคุยกันได้ หนูไม่เคยรู้สึกอึดอัดเวลาได้ปรึกษาแม่เลยค่ะ
แม่ก้อย : สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพูดคุยกันบ่อย ๆ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ยังดีอยู่ อีกหน่อยอาจจะไม่คุยกับแม่แล้วก็ได้
น้องออม : โอ๋ ๆ อย่าตัดพ้อไปเลยค่ะ

Mytour : คิดว่าเหตุผลใดที่ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมาก
แม่ก้อย : ก็เพราะไม่มีใครมาช่วยเลี้ยงไงคะ เลี้ยงเองเลย (หัวเราะ)
น้องออม : จริงค่ะ หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ รู้สึกเหมือนเราไม่ได้ปิดกั้นอะไรเลย คือหนูก็ไม่ได้ปิดกั้นการที่แม่จะดูแลเรา เพราะรู้สึกว่าแม่ดูแลแล้วก็สบายดี แม่ชอบบอกให้นัดเพื่อนไปเที่ยวบ้าง แม่จะไปส่งด้วย แต่เราก็เลยไม่อยากไป
แม่ก้อย : น้องออมจะมาติดแม่มากกว่า บางช่วงก็จะอยู่กับเพื่อนในช่วง ม. 4 ม. 5 แล้วมันคงมีบางอย่างที่ทำให้เขาติดแม่มากขึ้น เราก็ไม่แน่ใจนะ แต่ตอนนี้ก็ยังน่ารักดี เพื่อน ๆ ของน้องออมก็สนิทกับแม่ด้วย เพื่อนก็เป็นคนดี ๆ ทั้งนั้น
น้องออม : ใช่ค่ะ ๆ ออมก็สนิทกับเพื่อนของแม่ และแม่ก็สนิทกับเพื่อนออมด้วย คือมันแปลกมาก ๆ เลย
แม่ก้อย : ตอนนี้เวลาไปออกกำลังกายตอนเช้า แม่ก็ไปกับเพื่อนของแม่ (หัวเราะ) บางทีก็เป็นห่วงนะว่าเค้าจะไปเที่ยวจะปลอดภัยหรือเปล่า แต่เค้าจะเป็นคนที่ส่งรูปมาเอง โทรมาบอกส่งรูปมาให้แม่เห็น ว่าอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร อะไรแบบนี้
น้องออม : จริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อนจะงง ๆ นิดนึงค่ะ คือหนูชอบถ่ายรูปมาก แล้วก็ส่งให้แม่ตลอด เราเหมือนรายงานตัวผ่านรูปเลยค่ะ ว่า ‘กินข้าวตรงนี้นะ อยู่กับเพื่อนคนนี้’ อะไรแบบนี้ เราก็ถ่ายส่งไปให้แม่โดยไม่ต้องพูดอะไร แค่บอกว่าอยู่ที่นี่แล้ว แค่นั้นเอง แม่ก็สบายใจแล้ว มันเลยกลายเป็นนิสัย
แม่ก้อย : จริง ๆ แม่คิดว่าเค้าคงแคร์เราไม่ใช่หรอก น้องออมมีข้อดีตรงที่เค้าแคร์เรา เราก็รู้สึกดีใจค่ะ บางทีแม่ก็ห่วงเค้า แต่ก็ไม่พูดอะไร เห็นว่าเพื่อนคนนี้ก็เชื่อใจได้บ้าง ลองเชื่อเค้าบ้างสองครั้ง ปรากฏว่าเค้าก็ไม่ได้โกหกอะไรเรา แม่ก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะเค้าเป็นคนที่พิสูจน์ตัวเองว่าเค้าทำแล้วเค้าสบายใจ และไม่โกหกพ่อแม่ไม่มีอะไรปิดบังก็สบายใจ แต่การที่จะเข้าใจกันเราก็ต้องคุยกันนะคะ ต้องคุยทุกเรื่อง เปิดใจกันได้ตลอด ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องอะไร เราคือคนที่จะช่วยเค้าได้มากที่สุด
Mytour : มีอุปสรรค หรือสิ่งที่ต้องปรับตัวเข้าหากันอย่างไรบ้าง
แม่ก้อย : แม่ก็ต้องปรับตัวไปเรื่อย ๆ นะคะ ทั้งเรื่องสังคม การทำงาน หรืออะไรหลาย ๆ อย่าง อย่างเช่นเรื่องความชอบของน้องออม ทำไมฟังเพลงแบบนี้ ทำไมไม่กินแบบนี้ อะไรประมาณนี้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกเองจะรู้ว่าแม่ต้องปรับตัวตลอด การพูดคุยกันช่วยได้มาก เพราะวัยรุ่นเขาจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บางช่วงอาจจะไม่อยากเจอเพื่อน แต่พออายุมากขึ้นหน่อยก็อาจจะอยากเจอเพื่อนทุกวันเลยก็ได้
น้องออม : แต่จริง ๆ แล้วหนูไม่ได้รู้สึกว่าต้องปรับตัวอะไรหรอกค่ะ เพราะส่วนใหญ่คุณแม่จะเป็นคนที่ปรับเข้าหาหนูมากกว่า โอ๊ย ฟังแล้วเหมือนเด็กเอาแต่ใจเลย แต่มันไม่ใช่นะคะ
แม่ก้อย : ไม่ใช่ค่ะ การปรับตัวไม่ใช่การตามใจนะคะ การปรับตัวคือเพื่อที่จะปรับกับลูกในภายหลัง เช่น ถ้าลูกเจอปัญหาในการทำงาน แม่ก็จะคิดแบบวัยรุ่นบ้าง คิดแบบคุณแม่บ้าง แล้วหาจุดกึ่งกลางไปคุยกับเขา แล้วสอนเขาตามแนวทางที่เหมาะสมค่ะ
แม่ก้อยเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตว่า ช่วงวัยต่างกันทำให้ความต้องการแตกต่างกันไป เช่น สิ่งที่เคยคิดว่าจำเป็นอาจไม่สำคัญในวันนี้ ตัวอย่างเช่น ช่วงหนึ่งที่คิดว่าต้องมีรถที่ดี ๆ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าเงินนั้นควรนำไปลงทุนมากกว่า มีแค่รถที่ยางไม่แตก ไม่เสียกลางทางก็พอแล้ว แม่มองตัวเองเป็นแค่แม่บ้านคนหนึ่ง ที่มีชีวิตเรียบง่ายและธรรมดา
แม่ก้อย : ใช่ค่ะ อีกไม่นานก็จะบวชแล้ว
น้องออม : นั่นไม่เกินความจริงเลยค่ะ แม่เคยพูดเอง
แม่ก้อย : ก็คือสนิทกับพี่กิ๊ก มยุริญค่ะ แกชวนหลายรอบแล้วนะคะ จริง ๆ ถ้าลูกไม่ได้เข้าวงการสงสัยแม่จะไปในทางนั้นแล้ว แต่ตอนนี้ลูกเข้าวงการแล้วก็เลยต้องตามไปเป็นเพื่อนลูกค่ะ

สะท้อนความรัก
ในวันที่แม่ไม่อยู่
ความห่วงใยระหว่างแม่ก้อยและน้องออมทั้งคู่ต่างมองไปที่สุขภาพของกันและกัน ด้วยพฤติกรรมของคุณแม่ที่มักดื่มกาแฟในช่วงเช้า ทำให้ลูกสาวเป็นห่วง ขณะที่ลูกสาวที่นอนดึกก็ทำให้แม่อดห่วงไม่ได้เช่นกัน ทั้งคู่จึงพยายามดูแลกันและกันในเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่ที่สำคัญในความรู้สึกของทั้งสองต่างมองว่าอีกฝ่ายคือคนที่ดีที่สุดในดวงใจ
น้องออม : ถ้าให้นิยามแม่ก้อยเป็นยังไง ก็เป็นคุณแม่ที่ตามใจค่ะ ตามใจ แต่จะมีกฎเหล็กไม่กี่ข้อที่เราไม่เคยทำก็เลยทำให้รู้สึกชิลล์มาก ๆ ออมมีเป้าหมายเหมือนหลาย ๆ คนค่ะ คืออยากมีเงินดูแลตัวเองและช่วยพ่อแม่ ตั้งใจทำงานและดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด ถ้ามีเงินก็อยากดูแลแม่ให้มากขึ้น แม่เค้าก็ดูแลตัวเองได้อยู่แล้วแหละ แต่เราอยากมีเงินเก็บเหลือให้แม่ (หันไปมองแม่) หวานไหมคะ
แม่ก้อย : จริงเหรอคะ อัดไว้ให้ด้วยนะคะ ให้แม่ด้วยนะคะ ตอนนี้เค้าไม่เคยเก็บเงินเลยค่ะ เค้าก็ให้แม่เก็บ
น้องออม : ไม่ใช่ไม่เก็บเงินนะคะ แม่ต้องพูดให้ถูกต้องด้วย หนูเก็บเงินไว้กับแม่ค่ะ ไม่ใช่ว่าหนูไม่เก็บเงินนะ (รีบแก้ไข)
แม่ก้อย : เรามีแผนไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ 10 ปีข้างหน้า ออมจะเป็นยังไง เงินนี้จะมีผลยังไงบ้าง ออมเริ่มศึกษามาแล้วค่ะ และคุยกับพี่เจมส์ พี่เต้ยด้วย ต้องบอกว่าออมโชคดีที่ได้ทำงานกับพี่ ๆ ที่มีประสบการณ์เยอะ ได้คำแนะนำเรื่องการวางแผนชีวิต อาชีพนี้ต้องทำยังไง ถือว่าโชคดีมากนะคะ เพราะเด็กบางคนได้เงินก้อนใหญ่แต่ไม่รู้จะทำยังไง บางทีก็หมดไปกับกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า แต่ตอนนี้ออมมองว่าเราสามารถเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจได้
แม่ก้อย : ในส่วนของแม่เอง แม่บอกออมเสมอว่า ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงแม่เลย เพราะแม่มีป๊า แต่แม่อยากให้เราคิดว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีแม่หรือไม่มีป๊า ออมจะทำยังไง นี่เป็นสัจธรรมเลยนะคะ ทุกเช้าเราอาจตื่นมาแล้วแม่อาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เงิน ทอง หรือการทำงานที่ได้มา ต้องรักษาให้ดีทำให้ดีที่สุด เพราะโอกาสในชีวิตไม่ได้มาให้กับทุกคน มีแค่บางคนเท่านั้น ถามว่าเราสวยหรือหุ่นดีกว่าใครไหม ก็ไม่ค่ะ มันขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะชีวิต ทำให้ดีที่สุด ออมก็เข้าใจดีค่ะ ดูโอเคค่ะ
น้องออม : ใช่ค่ะ มันขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะชีวิต เพราะฉะนั้นหากใครสนใจติดต่อหนูหรืองานต่าง ๆ ก็สามารถติดต่อผ่านคุณแม่ได้เลยค่ะ เบอร์โทรอยู่หน้าไบโอในไอจีค่ะ (ทำท่าก่อนจะเศร้า)

Mytour : ปกติแล้วมีการชมกันและกันไหมคะ
แม่ก้อย : ไม่ได้ชมค่ะ มีแต่เตะแม่ไปเรื่อย ๆ
Mytour : ขอให้แม่ก้อยและน้องออมมีโอกาสชื่นชมกันและกันในตอนนี้ค่ะ
น้องออม : ขอบคุณค่ะแม่ (เขินเล็กน้อย) (แม่ก้อย : ชมเยอะ ๆ) โดนหยิกอยู่ข้างหลัง (พูดเล่น) คือแม่เป็นคนที่ดูแลลูกได้ดีมาก หนูเชื่อว่าแม่เลี้ยงลูกได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เพราะฉะนั้นหนูไม่มีอคติอะไรกับแม่เลย แม่เลี้ยงลูกได้ดีจริง ๆ ขอบคุณนะคะ
แม่ก้อย : แม่ไม่ได้คิดว่าเลี้ยงลูกเก่ง แต่แม่ทุ่มเทให้กับลูกอย่างเต็มที่มากกว่า
น้องออม : แม่เป็นคนที่ทุ่มเทและอดทนมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยกินอาหารที่คลีน แต่แม่ก็แข็งแรงมาก (แม่ก้อย : จิตใจแข็งแรง) ร่างกายก็แข็งแรงเช่นกัน อ่ะ ตอนนี้ชมแม่บ้างค่ะ
แม่ก้อย : ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ หมายความว่าสิ่งที่เราสอนไป เช่น การที่ออมต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด รักษาวินัย รักษารูปร่างและหน้าตา เค้าทำได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีอะไรมาแบ่งปันกับเรา เค้าเป็นเด็กที่ฉลาดและปรับตัวได้ดีในทุกยุคสมัย เพราะฉะนั้น เค้าจะพัฒนาต่อไปได้เยอะ เนื่องจากเค้าเปิดรับทุกอย่าง และไม่ใช่เป็นคนที่มีทัศนคติปิดกั้นในมุมมองของแม่นะคะ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด แม่อยากให้ออมระมัดระวังตัวกับทุกสิ่งในชีวิต เพราะยังมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกเยอะ นี่ยังไม่ผ่านสเต็ปหนุ่มเลยนะคะ เดี๋ยวสวยกว่านี้ก็จะมีหนุ่มมาจีบ แล้วก็มีสเต็ปการแต่งงานตามมาอีก แล้วก็มีอะไรให้ต้องคิดอีกเยอะ สเต็ปมันยังอีกยาว คนเป็นแม่ก็คงจะห่วงลูกไม่ได้เลย แม่ชื่นชมที่ออมเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้ดี เป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้ว ยังคงเรียนรู้ต่อไปค่ะ
อีกอย่างหนึ่งที่ต้องขอบคุณก็คือสามีค่ะ เพราะสามีเป็นคนที่สอนลูกได้ดี ถึงแม้จะเป็นคนเงียบ ๆ แต่ก็สามารถซัพพอร์ตได้ทุกรูปแบบ ออมโชคดีที่มีคุณพ่อคอยช่วยเหลือในทุกด้าน ทั้งที่ไม่ใช่แค่การเงิน แต่เป็นทุกอย่างในชีวิตของเราทั้งแม่ลูก เค้ารักและห่วงใยออมมาก อยากให้พัฒนาตัวเองไปในทางที่ดี ๆ และอยากให้ออมเป็นแบบนี้ตลอดไป
การชมกันและกันระหว่างแม่ลูกยังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับความหยอกล้อที่มีชีวิตชีวาของแม่ลูกที่สนิทกันมาก โดยเฉพาะในเรื่องน่ารัก ๆ ของน้องชายที่เหมือนคู่ซี้ของคุณพ่อ ซึ่งพี่สาวเป็นแหล่งเติมเกมรายวันให้ และเรื่องราวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องก็เป็นความสุขอีกหนึ่งที่ของคนเป็นแม่ค่ะ
แล้วแม่ก้อย นฤมล ก็แสดงความรู้สึกให้สัมผัสได้ว่า ลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า คือ ความสวยงาม คือผู้ที่สามารถสร้างความสำเร็จได้ด้วยมือของตัวเอง ดังความหมายของชื่อที่ตั้งไว้ว่า “กรณ์นภัส”
