
ในช่วงที่คุณเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เคยสังเกตไหมว่า ‘เพื่อน’ ที่เคยอยู่ใกล้ชิดเริ่มค่อยๆ หายไปทีละคนสองคน ทั้งเพื่อนที่คุณเคยสนิทและเพื่อนที่เพียงแค่เคยทำกิจกรรมร่วมกันในบางช่วงเวลาหรือเคยติดต่อกันอยู่ก่อนจะห่างเหินไปทีละนิด ทีนี้เมื่อย้อนมาคิดดู คุณจะพบว่ามีหลายคนที่หายไปจากชีวิตคุณโดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสียและไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุใดถึงไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ต่อไปได้ จนกระทั่งวันนี้คุณเหลือเพื่อนแค่ไม่กี่คน แม้ว่าตอนเด็ก ๆ จะมีเพื่อนมากมาย
จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลก การที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเพื่อนของเราค่อยๆ หายไป ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนและไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณคนเดียว มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้และพบว่าเมื่อเราโตขึ้นจำนวนเพื่อนของเราจะลดลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีหลายคนไม่รู้สึกเศร้าใจหรือทุกข์ร้อนเกี่ยวกับการที่เพื่อนหายไปจากชีวิตเรา จนเหลือเพียงไม่กี่คน แม้เมื่อก่อนเราจะเคยกลัวการไม่มีเพื่อน หรือเคยร้องไห้จากการทะเลาะกับเพื่อน แต่ปัจจุบันเรากลับไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก
นอกจากเรื่องของการเลือกเพื่อนดีหรือไม่ดีแล้ว มิตรภาพยังเปิดโอกาสให้เราสามารถเลือกยุติความสัมพันธ์กับใครก็ได้ หลายครั้งเพื่อนที่ดี ๆ ก็หายไปจากชีวิตเราโดยที่เราไม่ได้ทะเลาะกัน แต่การขาดการติดต่อกลับทำให้ความสัมพันธ์เหล่านั้นหายไป จึงยิ่งยากในการติดตามหาตัวเพื่อนที่ไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดีย ความจริงแล้ว เมื่อเราโตขึ้น การรักษาความสัมพันธ์ต้องอาศัยความพยายามมากขึ้น เพราะเรามีโอกาสพบเพื่อนน้อยลง การที่ไม่รักษาความสัมพันธ์จึงทำให้เพื่อนหายไปเรื่อย ๆ และการพยายามรักษามิตรภาพก็กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือแม้เพื่อนจะหายไป แต่เพื่อนที่เหลืออยู่นั้น แม้จะมีไม่มาก แต่ก็เป็นมิตรภาพที่จริงใจและไม่มีวันตาย แม้ว่าความสัมพันธ์ทางสังคมอาจจะห่างหาย แต่ความผูกพันที่แท้จริงจะยังคงอยู่เสมอด้วยประสบการณ์และเหตุการณ์สำคัญที่เราเคยผ่านด้วยกัน แม้ว่าเราจะไม่ได้ติดต่อกันหลายปี แต่เพื่อนแท้ยังคงวนกลับมาได้เสมอ และความสัมพันธ์ก็ยังคงเชื่อมโยงกันได้ทันทีที่พบกันอีกครั้ง
เราเห็นคุณค่าของคุณภาพมากกว่าปริมาณ
“เพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา” คำสอนโบราณที่เราเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ทว่าเมื่อเราโตขึ้น เรากลับเข้าใจคำนี้ได้ลึกซึ้งกว่าที่เคย เราเคยภูมิใจในช่วงที่มีเพื่อนเยอะ รู้จักคนมากมาย แต่เมื่อโตขึ้น ทัศนคติของเราเปลี่ยนไป การมีเพื่อนที่ดีแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว หากคนคนนั้นทำให้เรารู้สึกสบายใจ ความรู้สึกจะบอกเราว่าเพื่อนคนไหนที่เราจะไม่มีวันปล่อยเขาไป และก็เหลือเพียงไม่กี่คนที่เราจะเรียกว่า “เพื่อน” ซึ่งเราจะยอมให้คนอื่นค่อย ๆ หายไปจากชีวิตโดยไม่รู้สึกผูกพันอะไรอีก
ในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เราพยายามหาความยอมรับจากสังคม จึงพยายามสะสมเพื่อน ไม่ว่าไปที่ไหนทำอะไร เราก็มีเพื่อนรอบตัวไปหมด เรียกเพื่อนจากทุกคนที่รู้จัก พยายามรวมแก๊งและคุยทับกันว่าใครมีเพื่อนในแก๊งอื่นบ้าง ยิ่งมีเพื่อนเยอะยิ่งรู้สึกว่ามีคนคอยพึ่งพาได้มากขึ้น แต่พอเรามาถึงจุดนี้ เรากลับรู้ว่าเราคิดผิด เพื่อนจริง ๆ ที่ทำให้เราอุ่นใจคือคนที่รักเราและเราไว้ใจได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกภายในจะบอกเราเองว่าเราไม่สามารถเป็นเพื่อนกับทุกคนได้
กระบวนการธรรมชาติคัดสรร
“เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” คำสอนที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก จริง ๆ แล้วเราไม่ต้องรอให้ตัวเองเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นเพื่อนกิน ใครเป็นเพื่อนตายก็ได้ เพราะสุดท้าย คนที่ไม่ใช่เพื่อนจริง ๆ ก็จะหายไปตามธรรมชาติเอง การคบหากับคนมากมายที่เราสามารถทักทายและคุยกันได้มันไม่ยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเรียกว่าเพื่อนจริง ๆ ได้ เพราะทุกคนต่างก็มีเกณฑ์และคุณสมบัติในการคัดกรองเพื่อนของตัวเอง
มันคือกระบวนการ “คัดกรอง” ถึงแม้เราจะเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่เราก็ไม่สามารถเข้ากับทุกคนได้ หากความสัมพันธ์ไม่ได้คลิกกัน หรือรู้สึกถึงความไม่เข้ากัน ธรรมชาติก็จะทำให้เราและเขาห่างกันออกไปโดยอัตโนมัติ ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่บางครั้งเราก็จะกลายเป็นแค่คนรู้จักหรืออาจจะลืมกันไปเลย กระบวนการนี้ไม่ได้ซับซ้อน มันแค่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “ศีลเสมอกัน” เราแค่ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับทุกคนได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องคนดีคนไม่ดี แต่มันเกี่ยวข้องกับความเข้ากันได้ในหลาย ๆ ด้านที่เราอธิบายไม่ได้
ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง
ช่วงวัยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเหลือเพื่อนน้อยลง เพราะในวัยเด็กหรือวัยรุ่นเรามีภาระไม่มาก มุ่งแค่ไปโรงเรียนและเล่นสนุก แต่เมื่อโตขึ้น เราเริ่มมีบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบมากมายที่ต้องรับมือ ช่วงวัยทำงานไม่เหมือนตอนเรียน มีวันหยุดแต่งานยังมีให้ทำเสมอ ทั้งงานบ้านหรืองานเสริม การหาเวลาว่างยากมาก ต่างคนต่างมีชีวิตที่ต้องจัดการ การลางานก็ยุ่งยาก ทำให้การติดต่อกับเพื่อนลดลง จนห่างกันไปในที่สุด
การนัดเจอเพื่อนแล้วทริปต้องยกเลิกบ่อย ๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องขำขันในกลุ่มเพื่อนบางกลุ่ม แต่มันมีเหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง บางคนอาจจะเหนื่อยเกินไปที่จะลุกไปตามนัด หรือบางทีอาจจะต้องการเวลาพักผ่อนหลังจากที่ทุ่มเทให้กับชีวิตมามาก บางคนอาจมีภาระอย่างครอบครัวที่ต้องดูแล เช่น พ่อแม่หรือคู่สมรสป่วย หรือมีเรื่องงานที่สำคัญเช่น การเลื่อนตำแหน่งหรือการพิจารณาเงินเดือน ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถทุ่มเทให้กับการเจอเพื่อนในบางช่วงเวลา ชีวิตที่แยกย้ายไปตามภาระต่าง ๆ ทำให้ความสนุกสนานกับเพื่อนเริ่มห่างหายไป
ความหวือหวาในชีวิตมันลดลง
เมื่อเราเติบโตขึ้น ความหวือหวาในชีวิตก็เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เรามุ่งเน้นไปที่การทำงานและการดูแลครอบครัว จนไม่มีเวลาเหลือให้กับการพบปะเพื่อนอย่างที่เคยเป็น ความต้องการในความสนุกหรือความตื่นเต้นที่เคยมีในวัยเด็กเริ่มลดลง ความเรียบง่าย ความสงบสุข และความธรรมดาในชีวิตกลายเป็นสิ่งที่เราค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ กิจกรรมที่เราจะนัดเจอเพื่อนก็เริ่มจำกัดลง เพราะต่างคนต่างมีข้อจำกัดต่าง ๆ ของตัวเอง ทำให้การเจอกันไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน
ความหวือหวาของเราเริ่มลดลงแล้วหรือยัง? เราสามารถลองสังเกตตัวเองได้ว่า เราเริ่มไม่อยากผูกมิตรภาพกับคนใหม่ ๆ เท่าที่เคยทำในวัยรุ่น เราไม่รู้สึกอยากมีเพื่อนมากมายเหมือนในอดีต ตอนนี้เพื่อนบางคนที่ยังเหลืออยู่เราก็อาจจะติดต่อกันเพียงแค่บางครั้งผ่านแชตหรือโทรถามสารทุกข์สุกดิบบ้าง บางทีก็นัดเจอกันแค่เพื่อทานข้าว พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตต่อ หลายคนเริ่มรู้สึกว่า การนัดเจอเพื่อนเพื่อไปสังสรรค์ในแบบที่เคยทำไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไปแล้ว
เราเริ่มไม่อดทนในสิ่งที่ไม่จำเป็น
บางครั้ง เราเคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่เคยคบกัน แต่ตอนนี้เราไม่รู้สึกว่าเขาคือเพื่อนอีกต่อไปแล้ว การคัดสรรเพื่อนบางครั้งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเอง เมื่อเรารู้สึกว่าไม่สามารถอดทนกับบางคนได้อีกต่อไป บางครั้งความสัมพันธ์มันจืดจางลงตามกาลเวลา ทุกคนต่างก็มีความต้องการและข้อจำกัดของตัวเอง บางครั้งการคุยกันไม่เข้าใจหรือการตัดสินใจที่ไม่ตรงกัน ทำให้เรารู้สึกว่าไม่สามารถรักษามิตรภาพต่อไปได้
ความอดทนของเราเริ่มน้อยลง เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราต้องอดทนกับเพื่อนบางคนที่ไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีกแล้ว มิตรภาพบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่ toxic จนเราเริ่มตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรกับการติดต่อกับเพื่อนคนนี้ดี ถ้าไม่มีเขาในชีวิตจะเป็นอะไรไหม? การเจอเขาอีกครั้งก็อาจทำให้เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป บางทีเราก็ไม่อยากอยู่อย่างคนโดดเดี่ยวแต่ก็ไม่ต้องการที่จะอดทนในสิ่งที่เกินความจำเป็น สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นการยอมปล่อยให้บางคนจากไปและเลือกที่จะไม่ง้ออีกต่อไป
เรามีความแข็งแกร่งพอที่จะอยู่คนเดียวและรักสันโดษ
บางครั้งเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มีคนบางกลุ่มที่ยังคงคบเพื่อนอยู่เพียงเพราะความเหงาและความรู้สึกโดดเดี่ยว แม้ในความเป็นจริง การมีเพื่อนที่ดีนั้นมีคุณค่ามากกว่านั้น แต่ในบางช่วงเวลามันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะตราบใดที่การคบเพื่อนยังสามารถทำให้เรารู้สึกดีได้ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพื่อนคือคนที่สามารถบรรเทาความเหงาและช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ ด้วยเหตุนี้ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกเหงาหรือถูกเพื่อนละเลย เมื่อเพื่อนสนิทหันไปทำความรู้จักกับคนอื่น ทำให้เราเริ่มรู้สึกกลัวว่าจะสูญเสียเพื่อนคนนั้นไป อาจจะทำให้รู้สึกพึ่งพาเพื่อนมากเกินไปในบางครั้ง
เมื่อเราเติบโตขึ้น สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป บางคนเริ่มไม่ค่อยติดต่อกับเพื่อนฝูงหรือเลือกที่จะปฏิเสธการนัดพบกับกลุ่มเพื่อนเพียงเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีปัญหากับเพื่อน เพียงแต่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองในการเจอกันมากมาย การอยู่คนเดียวทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น ช่วยให้สามารถฟื้นฟูพลังและรักษาจิตใจตัวเองได้ พวกเขาไม่ชอบความยุ่งเหยิงและมักจะสร้างความสุขจากการอยู่คนเดียวมากกว่า จึงเลือกที่จะอยู่ในสันโดษ และใช้เวลาในการไตร่ตรองและพัฒนาตัวเอง โดยที่การติดต่อกับเพื่อนก็ยังคงมีบ้าง แต่ไม่บ่อยนักเพียงแค่ตามความเหมาะสมของสถานการณ์