แนะนำ 4 สูตรลดความอ้วนจากน้ำหนัก 82 กิโลกรัม ให้เหลือ 50 กิโลกรัมด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม โดยเน้นเรื่องอาหารควรงดแป้งและน้ำตาล ส่วนการออกกำลังกายจะช่วยให้หุ่นกระชับและสวยงาม การลดน้ำหนักจะสำเร็จได้มากถึง 90% จากการเลือกอาหารที่รับประทานและ 10% ที่เหลือคือการออกกำลังกาย
4 สูตรหลัก ๆ ที่สำคัญสำหรับการลดน้ำหนัก
- งดรับประทานข้าวเย็น
- งดข้าวเย็นและเพิ่มการออกกำลังกาย
- ออกกำลังกายเพื่อคุมแคลอรี่
- ใช้สูตรอาหารสำหรับลดน้ำหนัก
การกินจุกจิกหรือรับประทานเกินความจำเป็น คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความอ้วน การเผาผลาญพลังงานเพื่อลดน้ำหนักกลับยากกว่าการเพิ่มน้ำหนักมากนัก เรื่องราวของสาวน้อยคนนี้ที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จจากการใช้สูตรลดน้ำหนักที่บ้านลงโพสต์ใน Pantip.com แม้จะเจออุปสรรคมากมาย แต่เธอก็สามารถลดน้ำหนักได้จาก 82 กิโลกรัม เหลือเพียง 50 กิโลกรัมในเวลาแค่ 11 เดือน โดยไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าและไม่ทำร้ายร่างกายตัวเองจนเกินไป ลองติดตามเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเธอกันดู…
สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาแชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักที่คิดว่าทุกคนสามารถทำตามได้แน่นอน เพราะเราไม่ได้ตั้งกฎอะไรเยอะแยะ หรือใช้อุปกรณ์พิเศษอะไรเลย ใช้ชีวิตเหมือนเด็กหอที่ต้องลดน้ำหนัก โดยมันจะไม่ยากเกินไปหากตั้งใจจริง ๆ แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ใจค่ะ
แต่อีกเรื่องที่ไม่รู้ว่าแปลกไหมคือ เราไม่มีแรงบันดาลใจจากใครเลย คนส่วนมากถามว่าเรามีคนที่ชอบอยู่หรือเปล่า ถึงได้ลดน้ำหนัก แต่บอกตรง ๆ ว่าตอนที่อ้วน เราก็ไม่ได้ชอบใครเลยนะ แค่วันหนึ่งถ่ายรูปแล้วสะดุดตาตัวเอง เฮ้ย นี่ตัวเราเองเหรอ...เดี๋ยวตามไปดูรูปกัน
เล่าเรื่องการลดน้ำหนักตั้งแต่แรก
เราเป็นคนที่อ้วนมาตั้งแต่เด็ก กินเยอะจนตัวอ้วนขึ้น แต่ไม่ถึงกับมาก จนช่วงเริ่มเข้ามหาลัย น้ำหนักขึ้นแบบรวดเร็ว จากการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อกินตอนไหนก็ได้ ช่วงนั้นน้ำหนักประมาณ 75-76 กิโลกรัม ก็ไม่ได้คิดว่าจะลดนะ ก็กินไปเรื่อย ๆ จนปี 2 น้ำหนักขึ้นอีก กินข้าวทุกมื้อ ขนมก็กิน ดึกก็ต้องมีของกินอีก เช่น โจ๊กคัพ+ไก่ทอด 2 ชิ้น+ขนมจีบ กินเยอะจนรู้ตัว แต่หยุดไม่ได้ พอกลับบ้านเจอเพื่อนที่บ้านทักว่าอ้วนมาก ๆ คางจะย้อยเลย พอชั่งน้ำหนักเจอเลข 82.9 กิโลกรัม เฮ้ยย นี่มันเลข 8 แล้วเหรอ!
พอกลับหอมาถึงวันหนึ่งเลยคิดว่าจะลองลดดูบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้คิดว่าจะทำจริงจังขนาดนั้น
เริ่มต้นเลย น้ำหนักที่ชั่งได้คือ 82.9 กิโลกรัม
สูง 160 เซนติเมตร น้ำหนักปัจจุบันที่ลดลงมาอยู่ที่ 50 กิโลกรัมพอดี ถ้ากินเยอะหน่อยก็จะขึ้นไปอยู่ที่ 51-52 กิโลกรัม การลดน้ำหนักใช้เวลาประมาณ 11 เดือน แต่บางช่วงไม่ได้ทำต่อเนื่อง มีช่วงที่รู้สึกว่าได้ลดพอแล้วเลยหยุด กลับมากินตามปกติและเลิกออกกำลังกาย ทำแบบนี้ 2-3 ครั้ง รูปที่เห็นแล้วทำให้เราตัดสินใจอยากลดน้ำหนักก็คือ

1. งดรับประทานข้าวเย็น
น่าตกใจไหมล่ะ? วิธีแรกที่เราลองทำเลยก็คือ งดข้าวเย็น วันที่เริ่มลดน้ำหนักก็ในรูปนั้นแหละ กินพิซซ่าไปแล้ว หลังจากนั้นก็รู้สึกว่า เอ๊ะ เราก็ทนได้นี่นา ไม่รู้สึกหิวเลย อาจจะเป็นเพราะอ้วนมาก รู้สึกว่าอาหารที่กินยังเหลือพลังงานใช้ได้เยอะอยู่ 5555
เริ่มทำไปเรื่อย ๆ จำไม่ได้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่พอรู้สึกว่าจริงจังแล้วเลยไปซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอล เพื่อจะได้เห็นน้ำหนักแบบชัด ๆ ทุกวัน
มันดีมากเลยนะ เราชั่งทุกวัน ก็จะได้เจียมตัว 5555 แล้วทำไปเรื่อย ๆ จนสุดท้าย น้ำหนักลดไป 2 กิโลกรัม!! รู้สึกดีใจมาก คนที่ไม่เคยสนใจน้ำหนักมาก่อนเลย
น้ำหนักลดไปแล้ว 2 กิโล เย้ ๆ ตอนนี้เหลือแค่ 80 กิโลกรัม

2. งดข้าวเย็น และเพิ่มการออกกำลังกาย
น้ำหนักลดลงจริง ๆ แต่พอเห็นตัวเองในกระจกก็ยังรู้สึกไม่พอใจ เลยยังคงงดมื้อเย็นต่อไปสักพัก และเพิ่มการออกกำลังกายด้วย การออกกำลังกายที่เราทำคือการเดินเร็วๆ สลับกับเดินเร็วมาก ๆ ไปที่ฟิตเนสมหาวิทยาลัย เครื่องวิ่งที่เราใช้ความเร็วประมาณ 5.5-6.9 แล้วก็ปั่นจักรยานบ้าง ถ้ารอเครื่องวิ่งว่างก็จะปั่นจักรยานไป สลับกัน มีภาพมายืนยันด้วยนะ

การออกกำลังกายของเราไม่ได้กำหนดวันเวลาแน่นอน ถ้าวันไหนว่างก็จะไป ส่วนใหญ่จะว่างถ้าไม่ต้องทำงานหรือไม่มีสอบ การออกกำลังกายอีกอย่างที่เราทำคือการตีแบต สนุกดีที่เพื่อนก็ไปเล่นด้วยด้วยนะ อ้อ ลืมบอกว่าในการลดน้ำหนักครั้งนี้ เพื่อนก็เป็นส่วนสำคัญนะ เราอยู่หอ ทุกวันก็จะกินข้าวกับเพื่อน แต่พอจะลดน้ำหนัก เราต้องบอกเพื่อนจริงจังว่า ไม่กินข้าวเย็น ไม่ไปกินขนมหรือร้านนมอะไร หลัง ๆ เพื่อนก็หายไปเลย 555
พอลดน้ำหนักไปสักพักก็ไปปรึกษาพี่สาว พี่เลยแนะนำให้ดูรายการ 'Good Shape Save Cost' ซึ่งมันดีมาก! เราดูแล้วมีแรงบันดาลใจมาก รายการนี้เน้นเรื่องการควบคุมอาหารมากกว่าการออกกำลังกาย ซึ่งเราก็ออกอยู่แล้ว แต่พอดูรายการนี้ทำให้เราจริงจังกับการคำนวณแคลอรี่ทุกมื้อ ถ้าจะกินเย็นก็ต้องดูแคลอรี่ให้น้อย ๆ ตอนนี้ออกกำลังกายไม่ค่อยสม่ำเสมอ บางอาทิตย์หยุดไปเลย แต่ที่แน่ ๆ น้ำหนักลดลงเหลือประมาณ 75-76 กิโล

ทุกส่วนในตัวเรามันแน่นไปหมดจริง ๆ
3. ออกกำลังกาย ควบคุมแคลอรี่
หลังจากนั้นเราก็เริ่มควบคุมแคลอรี่มาเรื่อยๆ ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง แต่ถ้าวันไหนไม่ไปก็จะไม่ได้ไปเลยทั้งอาทิตย์ ช่วงเดือนมีนาคมเราเคยหนัก 71 กิโล ตอนนั้นเริ่มเรียนซัมเมอร์ เราลองสูตรพระเทพ แบบ 7 วัน น้ำหนักก็ลดไปประมาณ 3 กิโล ไม่แน่ใจว่าเริ่มต้นช่วงมีนาคมหรือเมษายน แต่ก็ถือว่าไม่เยอะ เพราะสูตรบอกไว้ว่าจะลด 7-8 กิโล แต่นี่คือช่วงเวลาที่ทำให้เราได้ลดจนถึงเลข 6!!! น้ำหนักประมาณ 68-69 กิโล ฟินมากจริงๆ ดีใจที่หลุดจากเลข 7 สุด ๆ แล้วพอเดือนพฤษภาคมหนัก 65 กิโล

4. ใช้สูตรอาหารลดน้ำหนัก
***คราวนี้เป็นสูตรโหดนะ***
เราลองทำเองแบบไม่ถามใครคือ
มื้อเช้า : โยเกิร์ต
เที่ยง : ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น : ผลไม้ (บางวันไม่กิน)
ตอนเย็นออกไปเดินเร็วๆ รอบสวนสารธารณะ (สระพังทอง) 2-3 รอบทุกวัน!! เพราะช่วงนั้นเราว่างมาก อยู่บ้านมีแต่เวลานั่งๆ นอนๆ เลยออกไปขยับร่างกายบ้าง ช่วงนั้นเราออกอยู่สองแบบคือ ว่ายน้ำกับวิ่ง ไม่แน่ใจว่ามันช่วยได้มากไหม แต่ควบคุมอาหารนี่แหละที่เห็นผลชัดเจนที่สุด
เอ่อ.. แต่เราขอเตือนนะ ช่วงที่เราทำคือเราไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการออกกำลังกาย เพราะเป็นช่วงปิดเทอม แต่เพื่อนเราเคยลองทำแล้วมันหน้ามืดไปเลย อาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะ ใช้วิจารณญาณกันดีๆ
จำได้แม่นเลย วันที่ 20 กรกฎา เพราะเรากำลังจะไปค่ายกับเพื่อนๆ สาขา เลยเร่งลดน้ำหนักหนักมาก 5555 อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดๆ น้ำหนักตอนนั้นเหลือ 58 กิโล ...... เห้ยมันคือเลข 5 แล้ว...... ดีใจสุดๆ
พอเปิดเทอม กลางๆ เดือนสิงหาก็น้ำหนักยังอยู่ที่ 58 กิโล คือแบบ แต่งตัวได้ดีกว่าเดิมเยอะ เพราะเสื้อผ้าใหม่หมดเลย เย้

เรากลับไปอยู่หอ ใช้ชีวิตตามปกติ กินข้าวตามปกติ แต่ยังติดนิสัยจากตอนอยู่บ้าน คือ กินน้อย ถ้ากินข้าวจนรู้สึกอิ่มแล้วก็ไม่กินเพิ่ม ขนม เค้ก นม ถ้าไม่อยากก็ไม่แตะ บางวันก็เลยชิน กลางวันกินไข่ต้มไปเรื่อยๆ 555555 น้ำหนักเลยลดลงเหลือ 55 กิโล ...... มันดีนะ (ช่วงเปิดเทอมแรกๆ ก็ไม่ได้ออกกำลังกายเลย)
สูตรลดน้ำหนัก
พอน้ำหนักคงที่ที่ 55 กิโล เราก็เริ่มกินปกติบ้าง กินขนม กินนม กินข้าวเยอะขึ้น แต่มันก็ยังน้อยกว่าตอนที่อ้วนมากๆ
พอช่วงนี้ไปเรื่อยๆ รู้สึกว่า 55 ก็ยังอวบอยู่ เลยกลับมาควบคุมการกินอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช้สูตรโหดแล้วเพราะต้องเรียนด้วย เลยเลือกกินพวกก๋วยเตี๋ยว สลัดผัก เกาเหลา ผลไม้ ไข่ต้ม ไปวนๆ แบบนี้ ถ้าต้องกินข้าวจริงๆ ก็แบ่งให้เพื่อนบ้าง
ช่วงนี้ก็ออกกำลังกายบ้างไปวิ่งตอนเช้า 40 นาที อาทิตย์ละสองครั้งได้
นั่นแหละ ... น้ำหนักเราลดลงเหลือ 52 กิโล !! เย้ บอกเลยว่ามันเริ่มลดยากตั้งแต่ 55 กิโล มาแล้ว
พอน้ำหนักลงมาเหลือ 52 กิโล เราก็ยังไม่ลืมเป้าหมายที่ตั้งไว้ คืออยากจะลดไปให้ถึง 45 กิโล !! รู้ว่ามันยากมาก แต่ก็พยายามกระดึ้บๆ ลดลงไปเรื่อยๆ พอช่วงสอบ final ก็อยากลดน้ำหนักไปด้วย แต่ก็ต้องกินนะ ก็กินปกติ มื้อส่วนมากรีบกินรีบเสร็จ เพื่อจะได้ไปอ่านหนังสือ ก็ยังคงกินไข่ต้มเหมือนเดิม อิ่มมากเลยนะ ลองดู... ก็กินตามปกติ แต่ไม่มีเวลาไปหาขนมมากิน หรือบางวันขี้เกียจออกไปข้างนอก อยากนั่งอยู่กับที่ ก็เลยกินแค่โยเกิร์ต ผลไม้ ขนมเล่นๆ (ไม่ดีนะ) น้ำหนักก็เลยลดลงมาที่ 50 กิโลพอดี
ถึงเวลาที่จะลงรูปหลังจากที่หายไป 30 กิโลแล้วใช่มั้ย? แต่ว่ารูปก่อนลดน้ำหนักมันเยอะกว่ารูปตอนลดแล้วนะ ดูสิ ดูๆๆๆ เราจะลง 555555
จำไม่ได้เลยว่าเป็นช่วงไหนเท่าไร แต่ก็ลงแบบสุ่มๆ ไป 55555 ปัญหาหลักของเราคือเรามีหน้าใหญ่ แก้มนี่ใหญ่มาก 555 น้ำหนักลดเท่าไร หน้าเราก็ยังดูอ้วนอยู่เลย


หลังจากที่น้ำหนักหายไป 32 กิโล !!! จาก 82.9 กิโลกรัมลงมาเหลือแค่ 50 กิโลกรัม ..... เฮ้ย!!
ตอนนี้น้ำหนักคือ 50 กิโล ถ้ากินเยอะหน่อยก็คงขึ้นไป 51-52 แต่พอวันถัดมาก็จะกลับมาอยู่ที่ 50 กิโลเหมือนเดิม..
นี่คือการเปลี่ยนแปลงชีวิต หลังจากผ่านมรสุมมาแล้ว ฮ่าาา






สุดท้ายก็เป็นการ selfie ที่คิดว่าเออ หน้าคงจะเล็กสุดได้แค่นี้ละ แก้มก็ยังมีเหมือนเดิม แต่มันเล็กกว่าภาพแรกเยอะเลยนะ

TT^TT อยากเพิ่มเติมนิดหน่อยนะคะ TT^TT
สำหรับคอมเมนต์ที่บอกว่าเราตอบแต่คนที่ชมไม่ตอบคนติ คือเราตอบเฉพาะคนที่มีคำถามจริงๆ เพราะคนที่ติเราก็อ่านแล้วไม่รู้จะตอบอะไร เราลดน้ำหนักมาไกลขนาดนี้แล้วเราควรทำยังไงดี? ตอนนี้เราก็กินข้าวปกติแล้วนะคะ
ต้องบอกเลยว่าวิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ถ้าจะกินขอแนะนำให้กินครบสามมื้อแต่ลดปริมาณลงนะคะ ^^
เชื่อได้ว่าเรื่องราวของสาวน้อยที่ใช้นามว่า Like a Pyramid น่าจะเป็นวิธีที่ดีสำหรับสาวๆ ที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ลองดูวิธีที่เธอทำสิไม่ยากเลย แค่ต้องมีความอดทนและความสม่ำเสมอ อย่ายอมแพ้ก่อนที่จะเห็นผล ไม่เพียงแค่รูปร่างที่ดีขึ้น แต่สุขภาพก็จะดีตามไปด้วย ใส่ชุดไหนก็ดูดี ถ่ายรูปก็สดใส และเดินไปไหนก็โดดเด่นไปหมด
แคลอรี่และความต้องการพลังงานของร่างกาย
แคลอรี่ (Calorie) คือหน่วยวัดพลังงานที่ใช้ในการคำนวณพลังงานจากอาหาร ซึ่งเราเห็นได้บ่อยๆ ที่ฉลากข้างกล่องอาหารต่างๆ เพื่อให้ทราบปริมาณพลังงานที่เราได้รับจากการรับประทาน เนื่องจากร่างกายเราต้องการพลังงานจากสารอาหารที่ได้แก่
- คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม เท่ากับโปรตีน
- โปรตีน ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม
- ไขมัน ให้พลังงานสูงถึง 9 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม ซึ่งเป็นพลังงานที่มากกว่าคาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีนสองเท่า
สำหรับร่างกายของเราแล้ว โดยทั่วไปการบริโภคแคลอรี่ที่เหมาะสมต่อวันสำหรับคนที่ทำงานหนักปานกลาง คือประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี่ แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนักหรือใช้พลังงานมาก เช่น กรรมกรหรือนักกีฬา อาจต้องการพลังงานมากกว่านี้ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องพลังงานในอาหารอย่างดี ส่วนคนที่ทำงานเบากว่า อาจต้องการพลังงานที่น้อยลง การลดน้ำหนักบางคนอาจเหมาะกับการนับแคลอรี่ การรับประทานอาหารแต่ละมื้อไม่ควรเกิน 600 กิโลแคลอรี่ อาหารจานเดียว เช่น ข้าวผัด หรือก๋วยเตี๋ยวมักให้พลังงานประมาณ 300 - 500 กิโลแคลอรี่ ซึ่งตามที่ Thai Recommended Daily Intakes (Thai RDI) แนะนำ สำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
- คาร์โบไฮเดรต คิดเป็น 60% หรือประมาณ 1,200 กิโลแคลอรี่ หรือเท่ากับ 300 กรัมต่อวัน
- โปรตีน คิดเป็น 10% หรือประมาณ 200 กิโลแคลอรี่ หรือเท่ากับ 50 กรัมต่อวัน
- ไขมัน คิดเป็น 30% หรือประมาณ 600 กิโลแคลอรี่ หรือเท่ากับ 66.6 กรัมต่อวัน
หากใครที่ต้องการพลังงานมากกว่าหรือน้อยกว่าที่กล่าวไป สามารถปรับเพิ่มหรือลดตามสัดส่วนพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน สูตรการลดน้ำหนักจากการทานพลังงานให้พอดี จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการสนับสนุนระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้ดีขึ้น และยังช่วยให้ร่างกายเก็บพลังงานส่วนเกินในรูปไขมันและแหล่งพลังงานอื่นๆ สำหรับใช้ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอเสนอกลเม็ดเคล็ดลับในการลดน้ำหนักเพิ่มเติมค่ะ
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลที่ใช้ประกอบ : คุณ Like a Pyramid สมาชิกจาก http://pantip.com/