
มีคำกล่าวว่า “การแต่งงานไม่ใช่จุดจบของความรัก” แต่แท้จริงแล้วมันคือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่ชีวิต เมื่อสถานะเปลี่ยนจากแฟนเป็นสามีภรรยา ต้องใช้ชีวิตภายใต้หลังคาเดียวกันตลอดเวลา ย่อมมีความท้าทายใหม่ ๆ ที่ต่างจากตอนที่เป็นแค่คู่รักธรรมดา
ในกรณีที่ปัญหาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราอาจจะเลือกที่จะนิ่งและปล่อยให้มันผ่านไปได้บ้าง (แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง) เพื่อลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ แต่ถ้าปัญหานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ก็ควรที่จะเปิดใจคุยกัน เมื่อพูดแล้วไม่เข้าใจก็อาจกลายเป็นการทะเลาะ ปัญหาค้างคาไม่เคลียร์ทำให้ความรักเปลี่ยนเป็นความขัดแย้ง และสุดท้ายความสัมพันธ์อาจจบลงได้
คู่แต่งงานที่มีลูกจะมีข้อขัดแย้งอะไรบ้าง? บทความนี้จะรวบรวม 12 สาเหตุหลักที่อาจทำให้คู่รักเกิดปัญหาขัดแย้ง เพื่อช่วยให้คู่รักสามารถคาดการณ์และเตรียมรับมือกับความขัดแย้งในอนาคต ก่อนที่มันจะกลายเป็นปัญหาหนักและยากจะกลับไปแก้ไข เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้
การศึกษาของ Lauren Papp รองคณบดีฝ่ายวิจัยจาก School of Human Ecology, University of Madison-Wisconsin ได้ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้คู่แต่งงานทะเลาะกัน โดยการสำรวจคู่สามีภรรยาที่มีลูก จำนวน 100 คู่ ในระยะเวลา 15 วัน
1. ลูก
ลูกมักเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้คู่แต่งงานทะเลาะกันบ่อยที่สุด โดยส่วนใหญ่เป็นความแตกต่างทางความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูก การเลี้ยงดู ระเบียบวินัย และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลลูก จากการศึกษาพบว่า 36.4 เปอร์เซ็นต์ของข้อขัดแย้งมาจากฝ่ายสามี และ 38.9 เปอร์เซ็นต์จากฝ่ายภรรยา นอกจากนี้ ความขัดแย้งเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกยังมีส่วนในการหย่าร้างถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นหากเด็กมีปัญหาทางร่างกายหรือจิตใจ
ลูกคือสาเหตุหลักที่ทำให้พ่อแม่ทะเลาะกัน เพราะลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ เมื่อมีลูก พ่อแม่จะพยายามปกป้องลูกจากการเลี้ยงดูที่พวกเขาคิดว่าไม่ดี แม้ว่าจะต้องทะเลาะกันเอง เรื่องลูกไม่เคยหายไปจากความคิดของพ่อแม่ และถึงแม้คู่แต่งงานจะหย่าร้างไปแล้ว ลูกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในความสัมพันธ์ระยะยาวของพ่อแม่ และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ
2. งานบ้าน
การทะเลาะกันเกี่ยวกับงานบ้านจะน้อยลงเมื่อเด็กโตขึ้น แต่สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็ก การแบ่งงานบ้านยังคงเป็นปัญหาใหญ่ โดยสามีมีข้อพิพาทเรื่องงานบ้านถึง 25.1 เปอร์เซ็นต์ และภรรยามีถึง 24.1 เปอร์เซ็นต์ เรื่องการแบ่งหน้าที่ในการทำงานบ้านเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในคู่สมรสยุคใหม่ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างทำงานนอกบ้าน (ทั้งคู่เหนื่อยจากงานนอกบ้าน) เมื่อผู้หญิงทำงานนอกบ้าน ผู้ชายจึงต่อต้านการแบ่งหน้าที่ในการทำงานบ้านมากขึ้น แต่การอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกันทั้งคู่ก็ต้องช่วยกันทำงานบ้านและเลี้ยงลูก ไม่ควรเป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
งานวิจัยพบว่าผู้หญิงที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียวต้องทำงานบ้านวันละหลายชั่วโมง เมื่อเทียบกับผู้ชายที่หาเลี้ยงครอบครัวคนเดียวที่ทำงานบ้านเพียง 11 นาทีต่อวัน ในครอบครัวที่สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ผู้หญิงยังคงทำงานบ้านมากกว่าแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับรายได้ แต่ยังมีหลักฐานที่แสดงว่าผู้ชายบางคนไม่รังเกียจช่วยภรรยา แต่บางครั้งผู้ชายอาจรู้สึกว่าผู้หญิงจู้จี้กับการทำงานบ้าน ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนถูกควบคุม จึงไม่อยากช่วย
3. การสื่อสาร
ปัญหาการสื่อสารมักเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในคู่สามีภรรยา มีหลายรูปแบบ เช่น การไม่ฟังหรือการไม่ได้ยิน ซึ่งมักเป็นที่มาของการทะเลาะกันโดยบ่อยครั้ง โดยที่สามีมีปัญหาในประเด็นนี้ถึง 21.1 เปอร์เซ็นต์ และภรรยามีถึง 21.8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้หญิงมักใช้คำพูดมากกว่า และอารมณ์มักเกิดขึ้นเมื่อพูดบ่อย ๆ ซึ่งทำให้ผู้ชายบางคนเลือกที่จะเมินเฉย เมื่อทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้หญิงโกรธ และประเด็นนี้ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่น ๆ เช่น เรื่องเงิน
งานวิจัยจาก The Gottman Institute พบว่า ปัญหาการสื่อสารเป็นหนึ่งในสี่ประเด็นหลักที่อาจนำไปสู่การหย่าร้าง นอกจากนี้ยังรวมถึงการดูหมิ่น การปกป้องตัวเอง และการวิจารณ์บุคลิกภาพของคู่รักด้วย
4. เวลาว่าง
แม้ว่าเรื่องนี้อาจดูเหมือนไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้คู่แต่งงานทะเลาะกัน แต่จริง ๆ แล้วมันกลับเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทำให้เกิดการโต้แย้งได้บ่อย โดยเฉพาะคู่ที่มีลูกเล็ก เนื่องจากการเลี้ยงลูกในวัยนี้ทำให้พ่อแม่แทบไม่มีเวลาส่วนตัว เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไร ความขัดแย้งก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
การศึกษาพบว่า การใช้เวลาว่างร่วมกันส่งผลดีต่อความพึงพอใจในความสัมพันธ์มากกว่าที่หลายคนคิด แต่ในทางกลับกัน หากคู่รักทำกิจกรรมที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สนใจ ความสัมพันธ์ก็อาจแย่ลงได้ โดยเฉพาะภรรยาที่มักต้องทำกิจกรรมที่สามีชอบทั้งที่ไม่สนใจ ซึ่งความแตกต่างในเรื่องการใช้เวลาว่างมักเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในคู่รักที่ปกติจะรักกันดี
5. งาน
งานและเงินเป็นสองประเด็นที่มักนำมาสู่ความขัดแย้งอย่างบ่อยครั้ง และทั้งสองเรื่องยังมีความสัมพันธ์กันด้วย ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับงานของคู่สมรสพบว่า 19.3 เปอร์เซ็นต์มาจากฝ่ายสามี และ 18.9 เปอร์เซ็นต์จากฝ่ายภรรยา เพราะคนส่วนใหญ่ต้องทำงานอย่างน้อย 5 วันหรือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจกลายเป็นสาเหตุของการทะเลาะกัน โดยบางประเภทของงานก็อาจเกี่ยวข้องกับความไม่ซื่อสัตย์ได้ด้วย
ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับงานสามารถเชื่อมโยงไปยังความไว้วางใจ เช่น เรื่องการเดินทางไปทำงาน การออกจากบ้านเร็วแล้วกลับช้าหรือการติดประชุม หรือการใช้เวลานานกับเพศตรงข้าม บางกรณีที่คนอาจนอกใจคู่สมรสก็เกิดจากเพื่อนร่วมงานหรือการติดต่อทางธุรกิจ ถึงอย่างไรก็ตาม ความกังวลเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในใจของคู่สมรสเสมอไป
6. เงิน
แม้ว่าเรื่องเงินจะเป็นประเด็นแรกที่ทำให้ Papp ตัดสินใจทำการวิจัยเกี่ยวกับปัญหานี้ แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ปัญหาการเงินอยู่ในอันดับกลางๆ ของปัญหาที่นำไปสู่การขัดแย้งในชีวิตคู่ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเรื่องเงินจะไม่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง สำหรับสามี มีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการใช้จ่าย เงินเดือน หรือปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินอยู่ที่ 18.3 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ภรรยามีข้อขัดแย้งเรื่องเงินที่ 19.4 เปอร์เซ็นต์
การวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งเรื่องเงินเป็นปัญหาที่เรื้อรังและไม่ง่ายที่จะหาทางแก้ไข โดยเฉพาะผู้ชายที่มักมีความเชื่อว่าเงินมีความสัมพันธ์กับอำนาจ การมีปัญหาทางการเงินอาจทำให้เกิดการขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น งาน กิจกรรมยามว่าง และเพื่อนฝูง ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเรื่องเงิน
Papp อธิบายว่า “ความแตกต่างเรื่องเงินนั้นเป็นปัญหาสากล คู่สมรสทุกคู่จำเป็นต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้จ่ายในครัวเรือนและการออม ดังนั้น โอกาสที่จะทะเลาะกันมีมากมาย จากประสบการณ์เรื่องเงินก่อนแต่งงานที่แตกต่างกัน ความคาดหวังที่แตกต่างกัน และพฤติกรรมการใช้เงินที่แตกต่างกัน”
7. นิสัย
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่พฤติกรรมเช่น การเคี้ยวข้าวเสียงดัง การไม่ตรงต่อเวลา หรือการใช้โทรศัพท์มากเกินไปกลับกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้คู่สมรสทะเลาะกันมากกว่าการนอกใจ รายงานพบว่า 16.2 เปอร์เซ็นต์ของสามีทะเลาะกับภรรยาจากการมีนิสัยไม่ดี ในขณะที่ 17.1 เปอร์เซ็นต์ของภรรยาทะเลาะกับสามีเนื่องจากเหตุเดียวกัน
แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ทุกคนต้องเจอ แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ แม้จะมีนิสัยที่น่ารำคาญบางอย่างที่ไม่ได้ถึงขั้นไม่สามารถทนได้ หรือสามารถเลือกที่จะประนีประนอมกันได้ แต่ถ้าทนไม่ได้ก็จะเริ่มเป็นจุดเริ่มต้นของการทะเลาะกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ Papp พบว่า นิสัยที่ไม่ดีจะเห็นได้ชัดมากขึ้นเมื่อเด็กๆ (ลูก) ไม่อยู่บ้าน
8. ญาติพี่น้อง
การทะเลาะกันในครอบครัวอาจคล้ายการทะเลาะกับเพื่อน แต่มีความรุนแรงมากกว่าเพราะเกี่ยวข้องกับสมาชิกในครอบครัว การมีบุคคลที่สามเข้ามามีส่วนร่วมในการทะเลาะระหว่างคู่สมรสจึงเป็นปัญหาที่ท้าทาย โดยปัญหานี้เกิดขึ้น 10.7 เปอร์เซ็นต์สำหรับสามี และ 11.9 เปอร์เซ็นต์สำหรับภรรยา
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่เกิดจากญาติพี่น้องเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำให้คู่สามีภรรยาต้องกำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ของครอบครัวให้ชัดเจน โดยมีความแตกต่างระหว่างชายหญิง ผลการศึกษาหนึ่งชี้ว่า หากภรรยาสนิทกับสะใภ้คนแรกๆ ของบ้านในช่วงหลังแต่งงาน ความเสี่ยงในการหย่าร้างจะสูงขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การที่สามีมีความสนิทสนมในลักษณะเดียวกัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการหย่าร้างลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
นักจิตวิทยา Terri Apter ได้ตั้งข้อสงสัยว่า สาเหตุที่ผู้หญิงมักจะมีแนวโน้มที่จะเห็นอกเห็นใจและให้อภัยได้ง่ายกว่าเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแม่ อาจเป็นเพราะการที่ผู้หญิงมีความรู้สึกและอารมณ์ที่ไวต่อความคิดเห็นเชิงลบ ในขณะที่ผู้ชายมักจะต่อต้านมากขึ้นเมื่อมีความคิดเห็นที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่ของพวกเขา
9. การนอกใจ
แม้ว่าความซื่อสัตย์จะเป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์คู่รัก แต่ปัญหาการนอกใจก็กลับไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คู่สมรสทะเลาะกันมากที่สุด เมื่อเทียบกับเรื่องงาน เงิน หรือบุตร โดยสถิติเกี่ยวกับสามีที่ทะเลาะกับภรรยาเรื่องนี้พบว่าอยู่ที่ 8.2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนภรรยาที่ทะเลาะกับสามีในเรื่องนี้มีเพียง 9.1 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า หลังจากการนอกใจ การกลับมามีความเชื่อใจกันใหม่เป็นเรื่องที่ยากมาก โดยมีคู่รักเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ที่สามารถก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้
แม้ว่าในปัจจุบันทัศนคติของสังคมต่อการนอกใจจะค่อนข้างผ่อนคลายลง และหลายคนที่ดูเหมือนมีความสุขในชีวิตแต่งงานก็ยังนอกใจคู่ของตนเอง แต่เหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้นไม่ได้มาจากความไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์ แต่เป็นการแสวงหาคำปรึกษาเพื่อทำความเข้าใจในสาเหตุที่ทำให้เกิดการนอกใจ
10. ความใกล้ชิด
หลายคู่แต่งงานพบว่าปัญหาเรื่องเซ็กส์และการแสดงความรักไม่เพียงพอส่งผลต่อความสุขในความสัมพันธ์ แต่สาเหตุนี้ยังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปัญหาอื่นๆ โดยข้อมูลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้มีความขัดแย้งในหมู่สามี 7.9 เปอร์เซ็นต์ และในหมู่ภรรยา 8.5 เปอร์เซ็นต์ โดย Papp คาดว่า ปัญหานี้มักจะถูกเก็บไว้ไม่พูดออกมา ซึ่งแตกต่างจากปัญหาเรื่องงาน เงิน หรือบุตร ที่มักจะพูดคุยกันโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อยกเว้นอยู่กรณีหนึ่งที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการมีเซ็กส์ แต่กลับไม่ยอมพูดคุยหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสาเหตุที่ไม่มีความต้องการทางเพศ ทำให้ฝ่ายที่เหลือรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยสนใจที่จะแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เซ็กส์มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ของคู่สมรสอย่างมาก
11. เพื่อน
บางครั้งอาจเกิดสถานการณ์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชอบเพื่อนของคู่ของตนเอง และบางครั้งการที่ฝ่ายหนึ่งทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกับเพื่อนก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งได้ เนื่องจากเพื่อนมีอิทธิพลในชีวิตคู่สมรส และอาจมีพฤติกรรมที่ทำให้คู่รักรู้สึกว่าเพื่อนสนิทอาจมีบทบาทในการชักนำคู่ของพวกเขาไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งส่งผลให้เกิดความเครียดในความสัมพันธ์ ประเด็นการทะเลาะกันเรื่องเพื่อนนี้พบในสามี 7.1 เปอร์เซ็นต์ และภรรยา 8.1 เปอร์เซ็นต์
ปัญหาความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนมีความเชื่อมโยงกับปัญหาการเงิน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด งานวิจัยพบว่าภรรยามักจะมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องเพื่อนและการเงินมากกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในบางกรณีผู้ชายมักมองว่าตนเองเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเมื่อภรรยาออกไปใช้เวลากับเพื่อน อีกทั้งยังมีการวิจัยเพิ่มเติมที่ชี้ว่าเมื่อสามีไม่ชอบเพื่อนของภรรยาตั้งแต่ช่วงต้นของการแต่งงาน อาจเป็นปัจจัยทำนายการหย่าร้างในอนาคตได้
12. บุคลิกภาพ
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่พูดมาก ขี้อาย หรือแม้แต่คนที่ชอบทำตัวเป็นจุดสนใจ ปัญหาเรื่องบุคลิกภาพของคู่สมรสถือว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับปัญหาอื่น ๆ โดยข้อมูลที่ได้จากการศึกษา พบว่าการทะเลาะกันในเรื่องบุคลิกของคู่สมรสมีเพียง 5.5 เปอร์เซ็นต์ในหมู่สามี และ 8.6 เปอร์เซ็นต์ในหมู่ภรรยา ซึ่งตรงกับงานวิจัยอื่น ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าบุคลิกภาพไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกคู่ครอง แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมแต่งงานหรือมีลูกกับคนที่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย แต่ปัญหานี้มักจะปรากฏพร้อมกับปัญหาขัดแย้งอื่น ๆ มากกว่า
ข้อมูลจาก Your Tango