“นาฬิกาหรู” ได้รับความนิยมเป็นสินทรัพย์ทางเลือกในการลงทุนและเป็นที่ต้องการไม่น้อยกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ แต่การลงทุนในนาฬิกาก็ไม่ง่าย ต้องวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติความต้องการของตลาดจากทุกมุมมอง เพราะไม่เพียงแค่ซื้อจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหรือความต้องการของตลาดเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาประสบการณ์และการคาดการณ์ตลาดล่วงหน้า รวมถึงข้อมูลการขายในตลาดมือหนึ่งและมือสอง การประเมินราคาช็อป ราคาขายต่อ และช่องว่างในการทำกำไร นอกจากนี้ยังต้องวางแผนการเงิน เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายของแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน บางครั้งการลงทุนในนาฬิกาอาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลตอบแทนที่ดี

นักลงทุนที่มีประสบการณ์อย่าง มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง เลือกสะสมนาฬิกาหรูเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า สร้างกำไรจากการถือครอง โดยจากประสบการณ์ของคุณมาร์ค ธาวิน เขาบอกว่าแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มี 4 แบรนด์ที่น่าสนใจ
เริ่มต้นจากแบรนด์นาฬิกาที่มีชื่อเสียงทั่วโลกอย่าง ปาเต็ก ฟิลิปป์ (Patek Philippe) แบรนด์สวิสหรูหราที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 180 ปี โดยมีความโดดเด่นด้านฟังก์ชั่นความซับซ้อนในการแสดงเวลาที่สุดยอดในโลก ทุกเรือนผลิตด้วยช่างฝีมือมืออาชีพ โดยพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ทำให้มูลค่าของนาฬิกา Patek Philippe เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกปี ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สำหรับรุ่นที่น่าสะสม ควรเลือกรุ่นที่ผู้ชายสวมใส่

เริ่มต้นด้วย ปาเต็ก ฟิลิปป์ นอติลุส สตีล บลู (Patek Philippe Nautilus Steel Blue) รุ่น 5711/1A-010 ซึ่งถือเป็นแรร์ไอเท็มสุดยอด โดยตัวเรือนทำจากสแตนเลสสตีล (Stainless Steel) พร้อมหน้าปัดสีฟ้าน้ำเงิน มีดีไซน์สปอร์ตที่ยังคงความคลาสสิก รุ่นนี้ได้รับความนิยมสูงในหมู่คนดัง และหลังจากการยกเลิกการผลิตในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ราคาของมันพุ่งสูงขึ้นไปถึง 3,800,000 - 4,000,000 บาท ขณะที่ราคาทุนเริ่มต้นอยู่ที่ราว 981,000 บาท

หลังจากที่รุ่นก่อนหน้านี้ยกเลิกการผลิตไป แบรนด์ได้ออก ปาเต็ก ฟิลิปป์ นอติลุส สตีล โอลีฟ กรีน (Patek Philippe Nautilus Steel Olive Green) รุ่น 5711/1A-014 มาแทน ซึ่งรุ่นนี้จะมีความพิเศษตรงที่หน้าปัดมีสีเขียวโอลีฟ ทำให้ความต้องการในตลาดยิ่งสูงขึ้น ราคาป้ายอยู่ที่ 1,071,800 บาท ขณะที่ราคาปัจจุบันสูงขึ้นไปอยู่ที่ 14-16 ล้านบาท

ถัดมาเป็น ปาเต็ก ฟิลิปป์ นอติลุส มูนเฟส (Patek Philippe Nautilus Moonphase) รุ่น 5712/11A-001 ที่มีการออกแบบที่หรูหราและหนา พร้อมกับการผสมผสานระหว่างสไตล์สปอร์ตและความอิลิแกนซ์ ตัวเรือนมีหน้าปัดถึง 4 ตัวในเรือนเดียว และฟังก์ชั่นดูวงโคจรของดวงจันทร์ได้ด้วย ราคาที่ซื้อมาตอน 10 ปีที่แล้วอยู่ที่ 1,380,600 บาท ขณะที่ราคาปัจจุบันพุ่งสูงไปถึง 3,750,000 – 3,850,000 บาท

เริ่มต้นที่แบรนด์ โอเดอมาร์ส ปิเกต์ (Audemars Piguet) หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อ AP เป็นแบรนด์นาฬิกาชั้นสูงจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1875 และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นจากแบรนด์อื่น ด้วยการออกแบบตัวเรือนรูปทรงแปดเหลี่ยมที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะรุ่น โอเดอมาร์ส ปิเกต์ รอยัล โอ๊ค เพอเพชชวล เซ้าท์ อีสต์ เอเชีย (Audemars Piguet Royal Oak perpetual Southeast Asia Ltd) รุ่น 26614OR.ZZ.1220OR.01 ที่ผลิตออกมาเพียง 20 เรือนทั่วโลก ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักลงทุน ทำให้ราคาสูงถึง 13-14 ล้านบาท ขณะที่ราคาทุนเริ่มต้นอยู่ที่ 5.1 ล้านบาท
ต่อมาแบรนด์นาฬิกาที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง โรเล็กซ์ (Rolex) ที่เป็นที่รู้จักไม่เคยตกยุค ด้วยการผสมผสานความแม่นยำในการบอกเวลาและความทนทานในทุกสภาพแวดล้อม พร้อมดีไซน์คลาสสิกอันเป็นเอกลักษณ์ โรเล็กซ์ถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูง แต่การซื้อขายในบางรุ่นก็อาจไม่ง่ายนัก เพราะต้องพิจารณาถึงความนิยมในตลาดของผู้สะสม

รุ่นที่ได้รับความนิยมและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุนในนาฬิกาลักชัวรี่คงจะหนีไม่พ้น โรเล็กซ์ ซับมารีน โนเดต (Rolex Submariner No Date) 114060 ขนาด 41 มม. ที่มีความทนทานสูง สามารถใช้ในการดำน้ำลึกและมีความแม่นยำของระบบการทำงาน ราคาที่ซื้อมาอยู่ที่ 300,000 บาท ขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 350,000 – 380,000 บาท โดยมีการคาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น 10% ในทุกปี ต่อมาคือ โรเล็กซ์ เดตจัส (Rolex Datejust) 31 มม. หน้าปัดสีเทาเข้มประดับเพชรและทองคำ 18 กะรัต ตัวเรือนผสมผสานระหว่างออยสเตอร์สตีล (Oystersteel) และทองคำขาว เรียกว่า White Rolesor ราคาซื้ออยู่ที่ประมาณ 1.45 ล้านบาท ราคาปัจจุบันพุ่งสูงถึง 2.5 ล้านบาท
ปิดท้ายกันที่แบรนด์ ริชาร์ด มิลล์ (Richard Mille) หรือ RM แบรนด์นาฬิกาหรูที่ถือกำเนิดในปี 2001 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมร.ริชาร์ด มิลล์ ผู้ที่หลงใหลในสมรรถนะของรถฟอร์มูล่าวัน จึงมุ่งมั่นพัฒนานาฬิกาที่มีความแม่นยำสูงและการออกแบบที่ละเอียดพิถีพิถันทุกกระเบียดนิ้ว จนกลายเป็นแบรนด์ที่มีราคาสูงติดอันดับนาฬิกาที่แพงที่สุดในโลก และในแง่ของการลงทุน ขอแนะนำให้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุน

สำหรับรุ่นที่แนะนำคือ ริชาร์ด มิลล์ โรสโกลด์ เพฟ ไดมอนด์ วอช (Richard Mille Rose Gold Pave Diamond Watch) 11-03 ซึ่งเป็นเรือนที่ซื้อมาในปลายปี 2020 ราคาจากช็อปอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท แต่ปัจจุบันราคาพุ่งไปถึงประมาณ 20 ล้านบาท โดยรุ่นนี้มีความพิเศษด้วยระบบ Fly-Back ที่ทำให้สามารถจับเวลาต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องหยุดเวลา นอกจากนี้ยังมี ริชาร์ด มิลล์ (Richard Mille) 11-02 ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว เพราะแผ่นรองฐานทำจากไทเทเนียม (Titanium) grade 5 ที่ทนทานต่อการกัดกร่อนในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ราคาซื้อมาอยู่ที่ประมาณ 6.3 ล้านบาท ขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 7.9 ล้านบาท ถือเป็นรุ่นที่มีความนิยมในการซื้อขายในตอนนี้
การซื้อขายนาฬิกาสามารถทำได้จาก 2 ช่องทางหลัก คือ การซื้อจากช็อปโดยตรง หรือจากผู้ที่ซื้อนาฬิกามาขายต่อ (Resell) การซื้อจากช็อปโดยตรงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ก่อนที่จะได้สิทธิ์ในการซื้อนาฬิการุ่นที่ต้องการ อาจจะต้องซื้อนาฬิการุ่นอื่นที่ทางแบรนด์ต้องการขายร่วมด้วย ซึ่งรุ่นที่ขายร่วมมักจะเป็นรุ่นที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่
ข้อดีของการซื้อจากช็อปโดยตรงคือเราจะได้ราคาที่ถูกกว่าการซื้อจากผู้ขายที่นำมาขายต่อ เพราะเมื่อซื้อจากผู้ขายต่อ ราคามักจะถูกปรับเพิ่มขึ้น และราคานาฬิกาก็สามารถเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของตลาด ดังนั้นผู้ซื้อต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ และควรตรวจสอบเครดิตของผู้ขายอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการถูกหลอก

มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง ได้พูดถึงการลงทุนในนาฬิกาไว้ว่า “เครื่องประดับที่หลายคนขาดไม่ได้คงหนีไม่พ้นนาฬิกา ซึ่งนาฬิกานั้นมีความเรียบง่ายและคลาสสิกเป็นเครื่องมือบอกเวลา ในขณะเดียวกันก็สามารถเป็นเครื่องประดับที่สวยงามเมื่อสวมใส่ และยังสามารถเป็นของสะสมหรือการลงทุนได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่หลงใหลในนาฬิกาควรถามตัวเองก่อนว่าชอบนาฬิกาเพราะเหตุใด หากเป็นเพราะความรักและความชื่นชอบในการสะสมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจแบรนด์หรือเทรนด์ในตลาด แต่อย่างไรก็ตาม หากคิดจะลงทุนในนาฬิกา เราต้องศึกษาเกี่ยวกับประวัติแบรนด์ ความนิยม ราคา และแนวโน้มในตลาด เพราะนาฬิกาหรูราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นการศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากเราสามารถคาดการณ์แนวโน้มของความต้องการในตลาดได้ นาฬิกาอาจจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้ 10-15% ทุกปี ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทีเดียว”