
ทุกกีฬาใช้สถิติเพื่อประเมินความสามารถของนักกีฬา เช่น ฟุตบอลจะวัดจากจำนวนประตูที่ทำได้, การขว้างจักรจะวัดจากระยะทางที่ทำได้, และในกรีฑา การวิ่งทั้งระยะสั้นและระยะยาวจะวัดจากเวลาในการวิ่ง ยิ่งวิ่งได้เร็วและใช้เวลาน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นผู้ชนะ
เมื่อนักวิ่งเริ่มต้น มักจะวิ่งไปโดยไม่คำนึงถึงอะไร แค่ขยับร่างกายไปก่อน แต่เมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มปรับตัว นักวิ่งจะเริ่มมองหาวิธีพัฒนาและพยายามปรับปรุงความสามารถในการวิ่ง และในระหว่างการฝึกหรือแข่งขัน เรามักได้ยินคำว่า 'เพซ' ซึ่งอาจทำให้นักวิ่งมือใหม่เกิดความสงสัยว่าคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร
Pace คืออะไร
Pace (เพซ) คือ เวลาที่ใช้ในการวิ่ง 1 กิโลเมตร (ตามระบบเมตริก) หรือ 1 ไมล์ (ตามระบบ SI) โดยในประเทศไทยเราจะใช้ระบบเมตริก ซึ่งจะบอกว่าเราใช้เวลาเท่าไรในการวิ่ง 1 กิโลเมตร และสามารถบ่งชี้ถึงความเร็วในการวิ่ง รวมทั้งบอกได้ว่าเรามีความเร็วเฉลี่ยตลอดเส้นทางหรือไม่ และทำได้ดีขึ้นหรือไม่
เพซที่ต่ำ = ใช้เวลาน้อย = วิ่งเร็ว
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากวันนี้วิ่ง 10 กิโลเมตร ด้วยเพซเฉลี่ย 6 หมายถึงเราวิ่งที่ความเร็ว 6 นาทีต่อ 1 กิโลเมตร และใช้เวลาทั้งหมด 60 นาทีในการวิ่ง
เวลา ÷ ระยะทาง = เพซ
วิธีคำนวณค่าเพซ
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีนาฬิกา smart watch อย่างในปัจจุบัน เราจะจับเวลาด้วยนาฬิกาข้อมือและคำนวณระยะทางด้วยวิธี manual ทุกๆ 1 กิโลเมตร แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกล เพียงแค่ใส่ Smart Watch ขณะวิ่ง นาฬิกาจะจับระยะทางและคำนวณความเร็วให้อัตโนมัติ สามารถตั้งค่าให้เตือนทุกๆ 1 กิโลเมตร หรือจะรับข้อมูลหลังวิ่งเสร็จก็ได้ นาฬิกายี่ห้อที่นิยม เช่น Garmin และ Suunto ซึ่งสามารถใช้แทนนาฬิกาข้อมือและไม่ต้องพกมือถือ เพียงกดเริ่มกิจกรรมและบันทึกหลังเสร็จสิ้น จากนั้นเชื่อมต่อข้อมูลกับแอพพลิเคชั่นของนาฬิกา ค่าการวิ่งจะอัปเดตให้อัตโนมัติ
หากยังไม่มีนาฬิกาจับเวลาวิ่งหรือไม่แน่ใจว่าจะซื้อรุ่นไหน คุณสามารถใช้แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนเช่น Strava, Nike Run Club (NRC), Adidas Running App, Runtastic หรือ Runkeeper เพื่อจับระยะทางและบันทึกสถิติการวิ่ง ทั้งระยะทาง เส้นทาง และความเร็ว การใช้แอพเหล่านี้ยังสามารถแชร์ข้อมูลลงโซเชียลมีเดียได้ และเป็นโอกาสในการเชื่อมต่อกับนักวิ่งจากทั่วโลกเหมือนการเป็นส่วนหนึ่งของ community นักวิ่ง
เพซช่วยบอกอะไรบ้าง
- ความเร็วในการวิ่งต่อ 1 กิโลเมตร
- ประสิทธิภาพและการพัฒนาการของร่างกาย: ยิ่งเพซต่ำ ยิ่งวิ่งได้เร็ว หมายถึงร่างกายของเรามีความทนทานและฟื้นตัวได้ดีขึ้น ทั้งหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อ
- ใช้คำนวณเวลาเฉลี่ยในการแข่งขัน เช่น หากต้องการวิ่ง 10K ภายใน 60 นาที ต้องวิ่งที่เพซประมาณ 5 นาทีต่อกิโลเมตร หากตั้งใจจะวิ่งมาราธอน Sub4 (ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง) ต้องวิ่งที่เพซเฉลี่ยอย่างน้อย 5:41
- ช่วยให้เราเช็คว่าเรายังอยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ เช่น หากต้องการทำลายสถิติเดิม ต้องวิ่งที่เพซต่ำกว่าเดิม การตรวจเช็คเพซทำให้การวางแผนการวิ่งในแต่ละกิโลเมตรมีความชัดเจนมากขึ้น การตั้งเป้าหมายและการประเมินตนเองสำคัญมากเพื่อให้การฝึกซ้อมตรงกับความสามารถของเรา
Sub1, Sub2, Sub4 คืออะไร เกี่ยวข้องกับเพซอย่างไร
ในวงการวิ่ง นักวิ่งมักจะตั้งเป้าหมายเวลาในการวิ่งแต่ละระยะทาง บางครั้งงานวิ่งต่างๆ จะใช้คำเหล่านี้เป็นสโลแกนและมอบของรางวัลให้กับผู้ที่ทำเวลาต่ำกว่าที่กำหนด เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ได้แก่ Sub1, Sub2 และ Sub4 ซึ่งหมายถึงเวลาที่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง หรือสี่ชั่วโมงตามลำดับ
- Sub1: วิ่ง 10 กิโลเมตรในเวลาไม่เกิน 60 นาที (เพซเฉลี่ยไม่ควรเกิน 5:50)
- Sub2: วิ่ง 21.1 กิโลเมตรในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง (เพซเฉลี่ยไม่ควรเกิน 5:42)
- Sub4: วิ่ง 42.195 กิโลเมตรในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง (เพซเฉลี่ยไม่ควรเกิน 5:40)
ในทางทฤษฎี แม้การวิ่งด้วยเพซเฉลี่ย 6 นาทีต่อกิโลเมตรในระยะ 10 กิโลเมตรจะทำให้เราจบภายใน 60 นาที แต่เวลาที่ได้จริงอาจไม่ถึง 60 นาทีเป๊ะๆ เพราะมักจะมีเศษวินาทีเกิน ดังนั้น หากต้องการวิ่งให้จบภายใน 60 นาทีในระยะ 10 กิโลเมตร ควรวิ่งด้วยเพซเฉลี่ยต่ำกว่า 6 นาทีเพื่อให้ตรงตามเป้าหมาย
คำแนะนำสำหรับนักวิ่งใหม่
แม้ว่าจะมีนาฬิกาจับเวลาแล้ว แต่สำหรับนักวิ่งมือใหม่บางคนอาจรู้สึกกดดันเมื่อลงแข่งขันจนเกิดความผิดพลาดในการประเมินความเร็ว ปัจจุบันหลายๆ งานวิ่งจะมีกลุ่มนักวิ่งที่เรียกว่า Pacer (เพซเซอร์) หรือ Pace Maker ซึ่งจะนำทางนักวิ่งตามเพซที่ต้องการ เช่น หากต้องการจบมินิมาราธอนภายใน 1 ชั่วโมง ก็ต้องวิ่งตามเพซเซอร์ที่ทำเวลา 60 นาที (จะเห็นตัวเลขบนลูกโป่งหรือธง) นักวิ่งมือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยการวิ่งตามกลุ่มเพซเซอร์เพื่อใช้จังหวะในการผ่อนหรือเร่งความเร็ว และในช่วงท้ายสามารถเร่งสปีดเพื่อแซงกลุ่มได้
บทสรุป
เพซเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเร็วที่เราสามารถทำได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือคุณควรหาค่าเพซที่เหมาะสมกับตัวเองในการวิ่งแต่ละครั้ง ควรเลือกเพซที่รู้สึกสบายและร่างกายสามารถรับได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาร่างกายและจิตใจไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะในสนามวิ่ง คู่แข่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่คนอื่น แต่คือใจของตัวคุณเอง
หากคุณหลงใหลในการวิ่งหรือเป็นแฟนกีฬาของไทย เราขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของนักกีฬาทีมชาติไทยในโอลิมปิกเกมส์ 2020 กับกิจกรรม “วิ่งธงชาติไทย...รวมใจสู่ชัยชนะ” หรือ ‘NATIONAL FLAG RUN’ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันพุธที่ 10 มี.ค. 64 (หรือปิดรับสมัครทันทีเมื่อครบจำนวนที่กำหนด)
ประกาศผลการรับสมัครในวันจันทร์ที่ 15 มี.ค. 64
1) ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับการยืนยันทาง e-mail ภายในวันจันทร์ที่ 15 มี.ค. 64
2) ผู้ที่ได้รับ e-mail ยืนยันแล้วจะต้องตอบรับสิทธิ์ภายในวันศุกร์ที่ 19 มี.ค. 64 หากไม่ตอบกลับภายในวันเวลาดังกล่าว จะถือว่าท่านสละสิทธิ์
สมัครได้ที่ : http://bit.ly/RoadToTOKYO2020
ปล. นักวิ่งที่ได้รับการคัดเลือกทุกคนจะได้รับเสื้อและเหรียญที่ระลึกกลับบ้านด้วยนะครับ