
เมื่อคุณอ่านบทความเกี่ยวกับการดูแลเส้นผมหรือสกินแคร์ คุณมักจะเจอกับคำว่า “pH Balance” หรือสมดุลของค่า pH บ่อยๆ แต่หลายคนอาจไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร หากเราใช้คำว่า 'ค่า pH' อาจจะดูคุ้นเคยมากกว่า เพราะคุณเคยเรียนเรื่องนี้ในวิชาเคมีตอนมัธยม และนั่นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเส้นผมและผิวหนังของคุณ เพราะทั้งสองอย่างมีค่า pH ตามธรรมชาติ หากค่า pH ไม่สมดุลก็อาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้
ก่อนที่เราจะลงลึกในเรื่องนี้ ไปทำความเข้าใจกับค่า pH กันก่อนว่าแท้จริงมันคืออะไร “pH” คือการวัดศักยภาพของไฮโดรเจน ซิปโปรา เชนเฮ้าส์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังอธิบายว่า “มันคืออัตราส่วนของกรดและด่างในสารต่างๆ โดยยิ่งมีไอออนไฮโดรเจนมากเท่าไรก็ยิ่งมีความเป็นกรดมากขึ้นและค่า pH จะต่ำลง” ค่า pH จะแบ่งเป็นระดับตั้งแต่ 0 ถึง 14 โดยค่าต่ำหมายถึงกรด (ค่า pH ต่ำ) และค่าสูงหมายถึงด่าง (ค่า pH สูง) ค่า pH ที่ 7 เป็นค่ากลาง ซึ่งไม่แสดงถึงกรดหรือด่าง โดยค่าต่างๆ ที่ต่ำกว่าหมายถึงกรด และสูงกว่าหมายถึงด่าง สิ่งมีชีวิตต่างๆ มีระดับ pH ที่แตกต่างกัน และค่า pH เท่ากับ 7 ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสมดุลเสมอไป
การรักษาสมดุลของค่า pH ที่เหมาะสมกับสุขภาพผิวเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะผิวหน้า เพราะการรักษาระดับ pH ที่ดีสามารถช่วยป้องกันริ้วรอยและลดการระคายเคืองบนผิวหน้า วันนี้ GQ มีวิธีดูแลผิวหน้าโดยคำนึงถึงค่า pH ที่เหมาะสมเพื่อให้คุณดูแลผิวได้ง่ายๆ
รู้ระดับค่า pH ที่เป็นกลางของผิวของคุณ
ผิวของเรามักมีสภาพเป็นกรด โดยปกติจะมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 5-6 อย่างไรก็ตาม บางการศึกษาพบว่าผิวที่ไม่ได้รับการบำรุงมีค่า pH ต่ำลงเหลือประมาณ 4.7 "Acid Mantle หรือ Skin Barrier เป็นเกราะป้องกันผิวจากแบคทีเรียก่อโรค ประกอบด้วยไขมัน แล็กทิก (Lactic) และกรดอะมิโน ซึ่งช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันเชื้อโรค รังสียูวี และมลพิษจากสิ่งแวดล้อม รวมถึงการป้องกันผิวจากการระคายเคืองจากสารเคมีและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน" เธอกล่าว แม้ว่าจะไม่มีวิธีที่ง่ายในการตรวจเช็กค่า pH ของผิว แต่ก็ยังสามารถใช้วิธีอื่นๆ เพื่อตรวจสอบได้
ระวังและสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกว่าค่า pH ของผิวคุณกำลังมีปัญหา
หากผิวของคุณเริ่มมีอาการอักเสบ แห้ง หรือระคายเคืองมากๆ มันอาจเป็นสัญญาณว่าค่า pH ของคุณสูงเกินไป เชนเฮ้าส์กล่าวว่า "เมื่อค่า pH เป็นด่างเกินไปจะทำลายเกราะป้องกันผิว และทำให้เกิดปัญหาผิว เช่น ริ้วรอยก่อนวัยและรอยย่นต่างๆ"
ผิวที่มีค่า pH ต่ำ หรือมีสภาพเป็นกรดสูงจะมีอาการแสดงออกมาเช่น การเห่อแดง ระคายเคือง ความมันส่วนเกิน หรือแม้กระทั่งเกิดสิวขึ้น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของกรดมักช่วยรักษาสิวบางชนิดได้ แต่หากใช้มากเกินไปอาจทำให้เกราะป้องกันผิวถูกทำลาย ซึ่งทำให้ผิวระคายเคืองและเซนซิทีฟขึ้น "เชนเฮ้าส์กล่าวว่า "ผิวที่มีสุขภาพดีและมีค่า pH ที่สมดุลจะมีความนุ่มนวล ไม่แห้งตึง ไม่แตกและไม่ระคายเคือง รวมทั้งไม่ไวต่อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ประจำ"
ดังนั้นควรพยายามรักษาความสมดุลของค่า pH ของผิวคุณ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผิวและหนังศีรษะของคุณก็คือค่า pH ของน้ำที่ใช้ในการอาบ "คุณควรใช้น้ำที่นุ่มนวล ไม่เป็นด่างและไม่ใช่น้ำแร่ในการอาบ" เชนเฮ้าส์กล่าว เธอแนะนำให้ใช้น้ำอ่อนหรือใช้น้ำที่ผ่านการกรองความกระด้างออก (Water Softener) หากผิวและผมของคุณแห้งเกินไป
สบู่หลายชนิดที่คุณใช้มักมีส่วนผสมของน้ำด่าง (Lye) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้ง หรือในบางกรณีอาจทำให้เกิดแผลไหม้จากสารเคมี (Chemical burns) ได้ ยาสระผมและสบู่ที่มีซัลเฟต (Sulfate) ทำให้เกิดฟองอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ ดังนั้นเชนเฮ้าส์แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน มีส่วนผสมที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย เช่น AHA (Alpha-Hydroxy Acids) หรือ BHA (Beta-Hydroxy Acids) เพื่อรักษาระดับกรดที่เหมาะสมสำหรับผิวของคุณ
โทนเนอร์บำรุงผิวถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมในการปรับสมดุลค่า pH ของผิว ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยควบคุมระดับค่า pH ในผิว "โทนเนอร์ (Toners) และไมเซล่า วอเตอร์ (Micellar Water) มักจะมีส่วนผสมที่ช่วยปรับสมดุล เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) สำหรับผิวที่มีสิว หรือชาเขียวและดอกคาโมมายล์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว" เชนเฮ้าส์กล่าว
บางครั้งวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลผมก็คือการใช้ครีมบำรุงผมหรือคอนดิชันเนอร์ "ครีมบำรุงผมทำหน้าที่คล้ายกับโทนเนอร์สำหรับผม เพราะมันช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผมหลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำประปาหรือการแห้งจากแชมพู" เชนเฮ้าส์กล่าวอธิบาย
สุดท้าย เชนเฮ้าส์กล่าวว่า มอยส์เจอร์ไรเซอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและทำให้ผิวมีความสมดุล ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยซ่อมแซม เช่น เซราไมด์ (Ceramide Acid) หรือไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) จะช่วยปิดผนึกเกราะป้องกันผิวที่เคยถูกทำลาย เพื่อลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและป้องกันการระคายเคือง