แม้ว่าคุณจะไม่ใช่คนที่หลงใหลในสนีกเกอร์หรือไม่ได้ติดตามวงการรองเท้ากันอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่แปลกที่หลายคนจะรู้จักแบรนด์ ONITSUKA TIGER เพราะไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยังมีชื่อเสียงที่ฟังติดหู และยังพ้องกับชื่อของตัวละครดังในมังงะ GTO อย่าง "โอนิซึกะ เอคิจิ" อีกด้วย
นอกจากจะเป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่นแล้ว ความน่าสนใจของ ONITSUKA TIGER ยังอยู่ที่การเติบโตผ่านประวัติศาสตร์ของโลกกีฬาและแม้แต่โลกบันเทิง ที่สำคัญคือแบรนด์นี้ได้ไปปรากฏในวงการมายาของฮอลลีวูดด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ จากการเป็นแค่รองเท้าสำหรับการออกกำลังกาย สู่การเป็นไอเท็มสำคัญของเหล่าแอ็คชั่นสตาร์ระดับโลก เส้นทางของแบรนด์นี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Main Stand
จุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ
เรื่องราวของ Onitsuka Tiger เริ่มต้นขึ้นในปี 1949 ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ "คิฮาชิโร่ โอนิซึกะ" ชายชาวญี่ปุ่นวัย 32 ปี มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยสร้างอนาคตที่ดีให้กับเยาวชนญี่ปุ่นหลังสงคราม เขาเชื่อว่ากีฬาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการเชื่อมโยงผู้คนและสร้างความสามัคคี ด้วยเหตุนี้การก่อตั้งแบรนด์รองเท้ากีฬาเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นสามารถเข้าถึงรองเท้าที่ดีได้ จึงกลายเป็นความตั้งใจที่เขาหวังจะทำให้สำเร็จ

"กีฬาคือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต" นี่คือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของแบรนด์ Onitsuka Tiger ซึ่งสะท้อนถึงปณิธานที่ คิฮาชิโร่ โอนิซึกะ วางไว้ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์นี้
ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้ง Onitsuka Tiger การผลิตสินค้าส่วนใหญ่เน้นไปที่รองเท้าบาสเกตบอลเป็นหลัก เนื่องจากในยุคปลายทศวรรษ 40s วัฒนธรรมจากสหรัฐอเมริกาได้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อญี่ปุ่น ทำให้บาสเกตบอลกลายเป็นกีฬายอดนิยมในขณะนั้น
แต่ความพยายามในช่วงแรกของ โอนิซึกะ กลับไม่ประสบผลสำเร็จ รองเท้าที่ผลิตออกมานั้นไม่ต่างอะไรจากรองเท้าฟางราคาถูก ไม่สามารถนำไปใช้ในการเล่นกีฬาได้ตามที่เขาคาดหวังไว้
จนกระทั่งวันอาทิตย์หนึ่งในปี 1950 ขณะที่ โอนิซึกะ กำลังกินสลัด เขาก็ได้แรงบันดาลใจจากการเห็นหนวดปลาหมึกเกาะติดอยู่ที่ชามสลัดของเขา เขาคิดว่าหนวดปลาหมึกมีโครงสร้างที่แข็งแรงและยึดเกาะสิ่งต่างๆ ได้อย่างดี แม้ว่ามันจะเล็กมาก เขาจึงไม่รอช้าที่จะออกแบบพื้นรองเท้าใหม่โดยใช้หนวดปลาหมึกเป็นต้นแบบ ก่อนจะนำแบบไปให้โรงงานผลิตรองเท้าเป็นครั้งแรก ซึ่งรองเท้าคู่นั้นถูกตั้งชื่อว่า "OK Shoes"

OK Shoes คือผลิตภัณฑ์แรกอย่างเป็นทางการของแบรนด์ Onitsuka Tiger แม้ว่ายอดขายในช่วงเริ่มต้นจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ เพราะ โอนิซึกะ ยังไม่ได้สร้างระบบการขายอย่างเป็นทางการ เขาทำทุกอย่างเพียงลำพัง แม้กระทั่งการเดินทางไปเสนอขายรองเท้าตามสถานที่ต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น และบางครั้งก็ต้องนอนบนม้านั่งในสถานีรถไฟเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
หลังจากที่ทีมบาสเกตบอลจากโรงเรียนมัธยมปลายโกเบได้สวมใส่ OK Shoes และคว้าแชมป์การแข่งขันบาสเกตบอลระดับมัธยมปลายแห่งชาติในปี 1951 ชื่อของ Onitsuka Tiger ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
แม้ว่าจะเริ่มมีชื่อเสียงบ้างแล้ว แต่ความสำเร็จของ OK Shoes ก็ยังคงจำกัดอยู่แค่ในระดับท้องถิ่น และแบรนด์ Onitsuka Tiger ก็ยังคงอยู่ในสถานะนี้จนถึงปลายทศวรรษ 50's
ในช่วงทศวรรษ 60's กลับกลายเป็นยุคที่ Onitsuka Tiger เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
รองเท้าวิ่งสู่ชัยชนะในโอลิมปิก
เหมือนกับครั้งที่เขานั่งรับประทานสลัดในวันอาทิตย์วันหนึ่ง ในยุค 60's ขณะที่ โอนิซึกะ กำลังแช่น้ำร้อนอยู่ในอ่าง เขาก็เห็นรอยเหี่ยวย่นของเท้าที่เกิดจากน้ำร้อน และเกิดแรงบันดาลใจคิดขึ้นว่า ความร้อนสามารถทำให้เกิดแผลพุพอง ซึ่งทำให้เขามุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอากาศที่ไหลเวียนดีขึ้นในรองเท้าวิ่งทางไกล
ในปีเดียวกันนั้นเองรองเท้ารุ่น MAGIC RUNNER ของ Onitsuka Tiger ก็ได้เปิดตัว โดยมีน้ำหนักเบาและการไหลเวียนของอากาศที่ยอดเยี่ยม มันได้รับความนิยมอย่างมากและประสบความสำเร็จในแง่ของยอดขาย จนทำให้ชื่อของ Onitsuka Tiger โด่งดังไกลไปยังต่างประเทศ

"นี่คือปรากฏการณ์ยูเรก้าของแบรนด์ Onitsuka Tiger ก็ว่าได้" เว็บไซต์ทางการของ Onitsuka Tiger ได้อธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ไว้อย่างชัดเจน
ถ้า MAGIC RUNNER คือก้าวแรกที่นำพาความสำเร็จ ก้าวที่สองก็ตามมาติดๆ โดยที่ Onitsuka Tiger ร่วมมือกับ "เคนจิ คิมิฮาร่า" นักวิ่งมาราธอนชื่อดัง เพื่อพัฒนารองเท้าให้กับนักกีฬาเพื่อนำไปใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1964, 1968 และ 1972 โดยเฉพาะในปี 1964 ที่โอลิมปิกที่ประเทศญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่อ "โตเกียว เกมส์" Onitsuka Tiger ได้เปิดตัวรองเท้ารุ่น RUNSPARK ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในโอลิมปิกครั้งนั้น
หลังจากนั้นเพียง 2 ปี สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าก็เกิดขึ้นกับรองเท้ารุ่น Mexico 66 ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโอลิมปิกปี 1968 ที่เม็กซิโก ตัวเลข 66 มาจากปีที่รองเท้ารุ่นนี้ได้รับการพัฒนาและผลิตสำเร็จ รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Onitsuka Tiger และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับรุ่นต่อๆ มา จนถึงปัจจุบัน ความคลาสสิคของรุ่นนี้ก็ยังคงไม่จางหาย
ยังไม่จบแค่นั้น เพราะในปีเดียวกัน ลวดลายแถบพาดลายเสือที่เราคุ้นเคยกันดี และกลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ Onitsuka Tiger จึงได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกบนรองเท้ารุ่น LIMBER UP Leather BK

หากถามถึงความสำเร็จของ Onitsuka Tiger ที่เข้ามาทำรองเท้าวิ่งเพื่อพิชิตโอลิมปิกในยุค 60's ก็ต้องบอกว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะ ฟิล ไนท์ และ บิว โบเวอร์แมน สองหนุ่มจากรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เห็นโอกาสที่ยังไม่มีใครนำ Onitsuka Tiger มาทำตลาดในสหรัฐอเมริกา พวกเขาจึงร่วมทุนกันเปิดบริษัท Blue Ribbon Sports เพื่อนำรองเท้าจาก Onitsuka Tiger มาวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงยุค 60's บริษัท Blue Ribbon Sports ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำเข้าอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ Onitsuka Tiger ก่อนที่ในภายหลัง บริษัทนี้จะเริ่มผลิตสินค้าอุปกรณ์กีฬาเป็นของตัวเองและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Nike ซึ่งเป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีในปัจจุบัน โดยเรื่องราวของการก่อตั้งบริษัทและการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะได้รับการพูดถึงในรายละเอียดในโอกาสถัดไป
เข้าสู่โลกจอเงิน
หลังจากประสบความสำเร็จในยุค 60's ด้วยรองเท้าบาสเกตบอลและรองเท้าสำหรับวิ่ง Onitsuka Tiger ก็ได้รับความนิยมที่แพร่หลายออกไป มีสินค้าใหม่ๆ ออกมาเพิ่มขึ้น และกลายเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมในการสวมใส่ในกีฬาหลายประเภท เช่น ฟุตบอล วิ่ง ศิลปะการต่อสู้ เชียร์ลีดเดอร์ วอลเลย์บอล มวยปล้ำ กอล์ฟ คริกเก็ต ฟันดาบ เทนนิส และยังขยายสู่โลกของวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ (Pop Culture) ผ่านการปรากฏในภาพยนตร์ฮอลลีวูดระดับโลกอีกด้วย

บรูซ ลี คือหนึ่งในนักแสดงระดับโลกที่สวมรองเท้า Onitsuka Tiger โดยเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์เรื่อง Game of Death ที่เข้าฉายในปี 1972 ในภาพยนตร์เรื่องนี้ บรูซ ลี ได้สวมรองเท้ารุ่น Mexico 66 คู่กับชุดจั๊มสูทสีเหลืองลายดำ ซึ่งกลายเป็นภาพที่ทุกคนจดจำได้ดี ... เมื่อพูดถึง บรูซ ลี ภาพลักษณ์นี้มักจะผุดขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก
แม้ว่าบรูซ ลี จะไม่ได้กล่าวถึงเหตุผลอย่างเป็นทางการในการเลือกสวมรองเท้ารุ่น Onitsuka Tiger แต่จากการสังเกตของทีมงานในกองถ่ายและสื่อในช่วงนั้นคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการที่รองเท้ารุ่นนี้เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวในวิชากังฟูและจีคุนโดที่บรูซ ลี แสดงในภาพยนตร์ได้อย่างคล่องแคล่ว ประกอบกับช่วงเวลานั้น Onitsuka Tiger กำลังเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกาอย่างมาก
ในปี 1973 เพียงปีเดียวหลังจาก Game of Death บรูซ ลี ก็มีภาพยนตร์ใหม่ชื่อ Enter the Dragon ซึ่งในเรื่องนี้ บรูซ ลี ไม่ได้สวมรองเท้า Onitsuka Tiger (เพราะในเรื่องเขาสวมรองเท้ากังฟูดั้งเดิมที่เหมาะกับบริบทของเรื่องมากกว่า) แต่ในอีกหนึ่งบทบาทนักแสดงนำอย่าง จิม เคลลี่ ก็ได้สวมรองเท้ารุ่น Mexico 66 ของ Onitsuka Tiger
ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Enter the Dragon ตัวละครที่รับบทโดย เคลลี่ ได้พูดกับคู่ต่อสู้ของเขาว่า
"ถ้าเกิดข้าแพ้ ข้าคงไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำเพราะข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำตัวเองให้ดูดี"

ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าในยุคสมัยนั้น Onitsuka Tiger ไม่เพียงแต่เป็นรองเท้าที่สามารถใส่ในการเล่นกีฬาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นรองเท้าที่มีดีไซน์สวยงามและดูดีอีกด้วย
แม้ว่าในฉากที่ถ่ายทำ บรูซ ลี จะไม่ได้สวมใส่รองเท้า Onitsuka Tiger แต่เบื้องหลังของการถ่ายทำเผยให้เห็นว่าเขาสวมใส่รองเท้าของแบรนด์นี้เกือบจะตลอดเวลา ถือเป็นไอเท็มสำคัญที่เขาขาดไม่ได้ โดย บรูซ ลี มีรองเท้า Onitsuka Tiger อยู่ทั้งหมด 3 คู่ คือรุ่น Limber Up, Mexico 66 และ Tiger Corsair ซึ่งทั้ง 3 คู่ในปัจจุบันได้ถูกนำมาประมูลเพื่อการกุศลในราคาหลายแสนบาทต่อคู่
สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ
ตั้งแต่เข้าสู่ยุค 70's และการที่ Onitsuka Tiger ได้กลายเป็นรองเท้าคู่ใจของนักแสดงระดับตำนานอย่าง บรูซ ลี ก็ทำให้แบรนด์นี้กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รองเท้าสนีกเกอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการกีฬา แต่ในช่วงปี 1990 เมื่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นประสบกับวิกฤตฟองสบู่แตก สถานการณ์ของ Asics ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Onitsuka Tiger ก็ย่ำแย่ไปด้วย จนถึงขั้นที่บริษัทต้องประสบกับการขาดทุนต่อเนื่องถึง 8 ปี
ในปี 2002 บริษัทเริ่มมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอีกครั้ง ด้วยการนำเสนอจุดขายใหม่ที่เน้นการเป็นรองเท้าผ้าใบคุณภาพสูง และมีภาพลักษณ์ที่เป็นวินเทจสไตล์ตะวันออก ซึ่งกลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรปอย่างฝรั่งเศสและอิตาลี

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Onitsuka Tiger กลับมาผงาดอีกครั้งในฐานะแบรนด์รองเท้าผ้าใบชั้นนำ คือการที่รองเท้ารุ่น Tai Chi สีเหลือง-ดำ ได้รับการเลือกใช้ในภาพยนตร์ซีรีส์ Kill Bill ผลงานการกำกับของ เควนติน ทารานติโน่ ผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นสุดยอดนักเล่าเรื่องแห่งยุค
ภาพยนตร์ Kill Bill ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ โดยรายได้รวมจากทั้งสองภาค (Kill Bill Vol.1 ออกฉายปี 2003 และ Kill Bill Vol.2 ปี 2004) สูงเกือบ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทุนสร้างเพียง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ภาพของ อูม่า เธอร์แมน (Uma Thurman) ที่สวมจั๊มสูทสีเหลืองพร้อมรองเท้า Onitsuka Tiger รุ่น Tai Chi สีเหลือง-ดำ ก็กลายเป็นภาพจำที่แฟนภาพยนตร์ทั่วโลกจดจำได้ดี เหมือนกับภาพของ บรูซ ลี ในเรื่อง Game of Death

"เควนตินสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ (Kill Bill) ขึ้นมาส่วนหนึ่งก็เพื่อคารวะผลงานของ บรูซ ลี ดังนั้นชุดของ อูมาร์ เธอร์แมน ที่เป็นจั๊มสูทสีเหลือง-ดำ ใส่ Onitsuka Tiger ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Game of Death แบบเต็มๆ" ลอว์เรนซ์ เบนเดอร์ (Lawrence Bender) โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ Kill Bill กล่าว
หลังจากที่ Kill Bill เข้าฉายเพียงไม่นาน ยอดขายของรองเท้า Onitsuka Tiger ก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่กี่เดือนหลังจากนั้น Asics บริษัทแม่ของ Onitsuka Tiger ได้ตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ถึง 23 แห่งในประเทศญี่ปุ่น, ฮ่องกง, ปารีส, เบอร์ลิน, ลอนดอน, และโซล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แบรนด์นี้อยู่ในช่วงซบเซาและไม่ได้เปิดสาขาใหม่มาเป็นเวลานาน
ตั้งแต่ปี 2003 ที่ อูม่า เธอร์แมน สวมรองเท้า Onitsuka Tiger ในการล้างบางแก๊งยากูซ่าในภาพยนตร์ Kill Bill Vol.1 จนถึงปัจจุบัน Onitsuka Tiger ก็ไม่เคยตกต่ำอีกเลย กลับกันแบรนด์จากแดนอาทิตย์อุทัยแบรนด์นี้กลับเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกในวงการสนีกเกอร์ และช่วยให้สถานการณ์ทางการเงินของ Asics ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2018 Onitsuka Tiger มียอดขายทั่วโลกเกินกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมกับเปิดสาขาใหม่ในญี่ปุ่นจำนวน 33 สาขา และอีก 233 สาขาทั่วโลก

แม้แบรนด์ Onitsuka Tiger ดั้งเดิมจะหายไปตั้งแต่ปี 1977 เมื่อ คิฮาชิโร่ โอนิซึกะ ได้นำแบรนด์ไปควบรวมกิจการกับ GTO ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬา และ Jelenk บริษัทผลิตเสื้อผ้าถักจากญี่ปุ่น จนเกิดเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ Asics แต่ความมุ่งมั่นในวันที่ก่อตั้งแบรนด์ของเขาก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน
Onitsuka Tiger ยังคงเป็น "ฮีโร่ผู้กอบกู้" อย่างที่เคยเป็นเสมอ แม้ว่าบริบทต่างๆ รอบตัวจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
แหล่งอ้างอิง
https://www.barkersonline.co.nz/blog/the-weird-and-wonderful-history-of-the-onitsuka-tiger/
https://www.onitsukatiger.com/th/th-th/tiger-tales#
https://www.scmp.com/lifestyle/fashion-beauty/article/3035606/onitsuka-tiger-how-bruce-lee-and-actress-uma-thurman
https://medium.com/@PacoTaylor/martial-arts-movie-stars-bruce-lee-and-jim-kelly-wore-onitsuka-tiger-sneakers-a0775253506f