
อาการเป็นลมมักเกิดจากการที่สมองได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอในช่วงเวลาสั้นๆ หรืออาจเป็นผลจากการมีเนื้องอกในสมอง ความผิดปกติของระบบการทรงตัว หรือความผิดปกติในการทำงานของสมอง อาการที่พบร่วมด้วยคือ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย มองเห็นผิดปกติ หรือเห็นภาพเป็นสีขาว-สีดำก่อนจะเกิดอาการวูบ อีกทั้งอาจมีอุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น เหงื่อออกอย่างกะทันหัน ชีพจรเต้นอ่อน หัวใจเต้นเร็ว หรือกล้ามเนื้อเกิดอาการควบคุมไม่ได้ จนล้มลงได้ อาการวูบอาจเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งมีทั้งหมด 10 ข้อที่สำคัญ
1. อายุ
อายุเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการวูบโดยไม่รู้ตัว เมื่ออายุ 30 ปี ร่างกายจะเจริญเต็มที่ แต่หลังจากนั้นจะเริ่มเสื่อมลง โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ตีบตัว ส่งผลให้เลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจลดลง หากอายุมากขึ้นและยังออกกำลังกายหนักเท่าเดิม อาจทำให้เกิดอาการวูบได้ ในบางกรณีอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสี่ยงเสียชีวิต ดังนั้นผู้สูงอายุควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและไม่หักโหมจนเกินไป
2. โรคประจำตัว
โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน โลหิตจาง โรคอ้วน หรือแม้แต่ลมบ้าหมู เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการวูบได้ คนที่มีโรคประจำตัวเหล่านี้ยังสามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรออกกำลังกายแบบไม่หักโหม เช่น การออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ถูกวิธี ซึ่งช่วยเสริมสร้างร่างกายและรักษาโรคได้ แต่หากต้องการออกกำลังกายในรูปแบบอื่น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อป้องกันอาการวูบและความเสี่ยงต่อชีวิต
3. การดื่มเหล้าและสูบบุหรี่
การดื่มเหล้าในปริมาณมากจะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม และส่งผลต่ออวัยวะภายใน เช่น ตับ ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ หากดื่มเหล้าก่อนออกกำลังกาย แอลกอฮอล์จะทำให้เลือดสูบฉีดมากขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดลดลง จนเกิดอาการหน้ามืดหรือวูบได้ ส่วนการสูบบุหรี่ที่มีสารพิษเช่น ทาร์ นิโคติน และคาร์บอนมอนอกไซด์ ทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง ส่งผลให้หัวใจขาดเลือดและร่างกายขาดออกซิเจน หากสูบบุหรี่ก่อนออกกำลังกายจะทำให้ชีพจรเต้นเร็ว อาจถึงขั้นขาดอากาศหายใจ หรือเกิดอาการวูบและเป็นลมได้
4. อากาศ
มลพิษในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ควันพิษ หรือสารพิษ สามารถทำอันตรายแก่ผู้ที่ออกกำลังกายได้ หากมลพิษในอากาศมีปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเกิดอาการวูบได้ นอกจากนี้ หากออกกำลังกายในสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด อุณหภูมิในร่างกายอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถนำไปสู่การเป็นลมหรืออันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นควรเลือกออกกำลังกายในสถานที่ที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสมและคงที่
5. การติดเชื้อ
การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม อาจทำให้การหายใจลดลงจนทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น หากมีอาการติดเชื้อเหล่านี้ จะทำให้ขาดออกซิเจนและเกิดอาการวูบได้ ดังนั้นหากมีอาการป่วย ควรรักษาให้หายก่อนหรือปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสม
6. แรงฮึดสอง
แรงฮึดสองเป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในระยะแรกของการออกกำลังกาย เมื่อเริ่มต้นออกกำลังกายจะใช้พลังงานที่ไม่ต้องการออกซิเจนประมาณ 2-3 นาที แต่หลังจากนั้นร่างกายจะต้องเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่ต้องการออกซิเจนแทน ช่วงนี้ผู้ที่ออกกำลังกายอาจรู้สึกเหมือนหมดแรงหรือเป็นลมได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เป็นลม ระบบพลังงานที่ใช้ต้องอาศัยออกซิเจนจะกลับมาทำงานตามปกติ และสามารถออกกำลังกายต่อไปได้
7. แพ้เหงื่อ
บางคนอาจไม่รู้ตัวว่าแพ้เหงื่อ หรือแพ้สารที่เกิดจากการออกกำลังกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้จนถึงขั้นวูบหรือหอบหืด หากพบอาการดังกล่าวควรหยุดออกกำลังกายทันทีและดูแลอาการให้ดีขึ้น ก่อนที่จะกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่อากาศร้อนหรือใส่เสื้อผ้าที่ช่วยระบายอากาศได้ดี เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
8. ชุดออกกำลังกาย
การเลือกชุดออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสมกับอากาศอาจทำให้เกิดอาการวูบได้ เช่น หากออกกำลังกายในอากาศร้อนแต่สวมเสื้อผ้าหนา อุณหภูมิร่างกายอาจสูงเกินไป ทำให้เกิดความร้อนสะสม หรือหากอากาศเย็นแต่ใส่เสื้อผ้าไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายรับความเย็นได้ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายถึงขั้นเส้นเลือดในสมองแตกและเสียชีวิตได้
9. การใช้ยาบางชนิด
การใช้ยาบางประเภท โดยเฉพาะยาโด๊ป หากฤทธิ์ของยาหมดลงในระหว่างการออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายหมดพลังงานในทันที ส่งผลให้อาการวูบและอ่อนเพลียเกิดขึ้นจนถึงขั้นหลับได้ ยาบางชนิดมีผลต่อการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายและความดันโลหิต ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับสมดุลได้ อุณหภูมิร่างกายอาจสูงขึ้นเกินไป ขณะที่ความดันโลหิตไม่สามารถเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการในช่วงที่ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเหตุให้สมองและหัวใจขาดเลือด และทำให้เกิดอาการวูบได้
10. ที่สูง
เมื่ออยู่ที่ความสูงเกิน 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปริมาณออกซิเจนในอากาศจะลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมนี้รู้สึกมึนงง เวียนหัว หรือเกิดภาวะหมดสติได้ สำหรับการออกกำลังกายในที่สูง อาจทำได้ยากขึ้นเพราะออกซิเจนที่มีอยู่น้อยลง ดังนั้นหากไปพักในพื้นที่สูงแล้วออกกำลังกายโดยไม่ระมัดระวัง อาจเสี่ยงต่ออาการวูบหรือหมดสติได้โดยง่าย
ข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)