ศิลปินผู้มีชื่อเสียง

อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล นักปั้นผู้เชี่ยวชาญที่คว้ารางวัลการประกวดศิลปะระดับโลกมากมาย ผลงานของเขาได้รับการยอมรับในระดับสากล แต่เส้นทางชีวิตของเขานั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความง่ายดาย การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดของสตรีท่านหนึ่งที่ว่า “ประเทศไทยจะเก็บสันติไว้คนเดียวไม่ได้ โลกจะต้องรู้จักคนที่ชื่อสันติ” คำพูดนี้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาตัดสินใจเดินทางไปสหรัฐอเมริกาพร้อมกับสตรีคนนั้นที่กลายเป็นคู่ชีวิตของเขา ทุกความสำเร็จนั้นต้องแลกมาด้วยการพิสูจน์ และการเดินทางของเขาก็เต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย
“ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่และตายายพาผมไปวัดทุกสัปดาห์ วัดของไทยไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ศาสนา แต่ยังเป็นแหล่งรวมศิลปะหลายแขนง ทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมโลหะ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมสนใจอยากลองทำบ้าง ผมเริ่มหัดปั้นดินตั้งแต่ 4 ขวบ และตอน 6 ขวบก็เริ่มปั้นดินเหนียวเป็นของเล่นจำลอง UFO ขายให้เพื่อนในหมู่บ้าน ที่อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา จากนั้นก็เริ่มเข้าประกวดและได้รับรางวัลหลายครั้ง เมื่อรู้ว่านี่คือสิ่งที่เราชอบ ก็เลยมุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อให้ได้ทำงานศิลปะเป็นอาชีพ”
“คุณพ่อของผมท่านเป็นครู ทำให้ที่บ้านเต็มไปด้วยสมุดแจกนักเรียนและกระดาษจด ผมมักเอามาวาดเล่นเสมอ บางครั้งก็ใช้ถ่านและช็อควาดบนผนังบ้าน พ่อแม่ของผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ คุณแม่เป็นช่างเย็บผ้า ทำให้ผมเห็นการทำงานฝีมือมาตั้งแต่เด็ก ส่วนคุณพ่อที่เป็นครูก็เขียนตัวหนังสือสวย ๆ ให้กับนักเรียน หรือทำของเล่นและเฟอร์นิเจอร์ให้กับนักเรียน ที่บ้านจึงเต็มไปด้วยงานช่างฝีมือ สิ่งเหล่านี้ซึมซับเข้าสู่ตัวผมตั้งแต่เด็ก และทำให้ผมเรียนรู้และพัฒนาทักษะจากสิ่งที่ผมรัก”
“ในช่วงนั้นฐานะของเราก็ไม่ถึงกับดีนัก พ่อมีลูกหลายคน รวมแล้ว 6 คน และผมเป็นคนสุดท้อง แต่โชคดีที่พ่อเป็นคนขยัน ทำงานหนักจนสามารถไต่เต้าจากลูกชาวนาเป็นครูใหญ่ และในที่สุดก็ได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ผมเองจึงตั้งใจว่า จะต้องมีประโยชน์และทำได้มากกว่าที่พ่อทำ ผมยึดถือคำขวัญ ‘ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’ ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียน คำสอนเหล่านี้ทำให้ผมรับผิดชอบในสิ่งที่สัญญาไว้ และความสุขของผมคือต้องการทำให้ผู้อื่นมีความสุข”
การปลูกฝังศิลปะตั้งแต่ต้น
“ตอนเรียนประถมที่โรงเรียนชุมชนชุมพวงวิทยา คุณครูสอนให้เรามีอิสระในการวาดภาพ อยากวาดอะไรตามใจชอบ แล้วค่อย ๆ ให้แนวคิดที่ดีขึ้น ต่อมาในช่วงมัธยมต้นที่โรงเรียนชุมพวงศึกษา ผมเรียนสายวิทย์-คณิต แต่กลับไม่ชอบคณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษเลย ชอบวาดรูปมากกว่า จนได้เป็นประธานชมรมศิลปกรรมของโรงเรียน และยังเป็นสมาชิกวงดุริยางค์ด้วย แต่ครูก็แนะนำให้ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาที่นครราชสีมา”
“ที่วิทยาลัยผมได้เรียนรู้จากครูหลาย ๆ ท่าน โดยคำสอนที่ติดตัวมาคือว่า ถ้าจะวาดอะไรต้องให้มันเหมือนชีวิต เช่น หากวาดมีด ต้องให้มีดบาดมือได้จริง นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมุ่งมั่นในการสร้างงานที่สมจริง ผมได้เรียนศิลปะทุกแขนง ทั้งวิชาองค์ประกอบศิลป์ลายไทย, Anatomy, กล้ามเนื้อมนุษย์ และการผสมสีจากดอกไม้และพืชพันธุ์ธรรมชาติ เมื่อเรียนถึงระดับปวช. ผมก็เรียนทุกอย่าง แต่พอขึ้น ปวส. ผมก็เลือกสาขาเฉพาะตัว หลังจากนั้นอาจารย์แนะนำให้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ผมจึงไปเรียนที่นั่นกับรุ่นพี่ ชื่อพี่ขจร แม้ว่าผมจะสอบไม่ติดศิลปากรเพราะรู้ว่าไม่ใช่แค่ความสามารถทางศิลปะ แต่ต้องพร้อมในด้านวิชาการด้วย”
“หลังจากนั้นผมอาศัยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช 2 เดือนเพื่อศึกษา Anatomy ในตึกซีอุย ซึ่งเป็นการศึกษาชิ้นเนื้อ กระดูก และกล้ามเนื้อ พี่เขามีงานวาดภาพพุทธประวัติ และให้ผมลงสีแลกกับอาหารและที่พัก ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ต่อมาผมได้ยินข่าวจากเพื่อนว่ามีรุ่นพี่ทำงานเป็นนักปั้นที่โรงหล่อแห่งหนึ่งในซอยเพชรเกษม 51 (บางแค) เขาจ่ายค่าแรงวันละร้อย ผมก็ไปทำงานที่นั่น เริ่มต้นจากการทำงานเล็ก ๆ เช่น กวาดพื้น นวดขี้ผึ้ง หรือแม้แต่เก็บขี้หมา แต่ทั้งหมดนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้กระบวนการปั้นและหล่อโลหะจนสามารถทำงานได้เร็วและมีความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ อาจารย์แดง กำพล เจ้าของโรงหล่อ ยังแนะนำให้ผมเข้าวงการบันเทิง ทำให้ผมได้เริ่มต้นการถ่ายมิวสิควิดีโอและได้รับค่าตัวครั้งแรก”
“หลังจากที่ได้เรียนรู้ทั้งการปั้นและการหล่อแล้ว ผมตัดสินใจออกจากวงการนี้มาเข้าสู่วงการบันเทิง โดยทำงานที่โมเดลลิ่ง รับหน้าที่แมวมอง คอยหานักแสดง บางครั้งก็ไปทำสตั๊นท์แมน หรือทำตัวประกอบในรายการทไวไลท์โชว์ ต่อมาผมได้ร่วมงานในฝ่ายศิลป์กับอาประยูร วงษ์ชื่น ผู้กำกับชื่อดังในขณะนั้น ซึ่งทำให้ผมสามารถหาเงินไปเรียนต่อที่วิทยาลัยเพาะช่าง ในระหว่างนั้นผมยังได้ทำฝ่ายศิลป์ให้กับผู้กำกับท่านอื่น ๆ และในที่สุดได้มาทำงานให้กับพี่ปื๊ด ธนิตย์ จิตนุกูล”
“การเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเป็นสิ่งที่ผมทำอยู่ในขณะนั้น ผมเรียนที่วิทยาลัยเพาะช่าง พาหุรัด โดยมีงานให้ทำอยู่เสมอจากผู้ใหญ่ในวงการหลายท่าน เช่น การทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายศิลป์ในละครเรื่อง ขบวนการสู้ผีไม่มีถอย (ช่อง 3) ของคุณหน่อง อรุโนชา ภานุพันธ์ และยังได้แสดงเป็นพระเอกในมิวสิควิดีโอคาราโอเกะของหลายเพลงจากบริษัท RS ผมก็พยายามช่วยเหลือเพื่อน ๆ ให้มีโอกาสเข้าวงการ และหางานมอบให้คนอื่นอย่างต่อเนื่อง วันหนึ่งอาจารย์ท่านหนึ่งถามว่า ใครในเพาะช่างที่ปั้นเก่งที่สุด จึงได้รับโอกาสไปทำงานปั้นวิวัฒนาการของมนุษย์ที่พิพิธภัณฑ์ฟาร์มจระเข้ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นงานปั้นครั้งแรกที่รับเงินจากการทำงานจริง”
“หลังจากได้งานชิ้นนี้ ผมก็หยุดทำฝ่ายศิลป์ให้พี่ปื๊ด ธนิตย์ (จากหนังเรื่อง สยึ๋มกึ๋ย ภาค 2) และหันมาทำงานปั้นเต็มตัว ผมและเพื่อนรุ่นพี่อีกสองคนรับงานปั้นที่ซอยเพชรเกษม 51 ซึ่งเราปั้นหุ่นวิวัฒนาการของมนุษย์ 7 ตัว และได้รับเงิน 30,000 บาท แบ่งกันคนละ 9,000 บาท แต่ต่อมารุ่นพี่ได้กระซิบว่าเขาได้รับงานมาในราคาที่สูงกว่านี้มาก ผมจึงคิดว่าเงินไม่สำคัญเท่ากับโอกาสที่ได้รับ ผมตัดสินใจว่า “ขาดทุนคือประสบการณ์ ความชำนาญคือกำไร” และพร้อมยอมขาดทุนเพื่อสะสมประสบการณ์ไว้ให้มากที่สุด”
การพลิกชีวิตสู่ความสำเร็จ
“จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อผมย้ายไปอเมริกา เพราะรู้สึกผิดหวังบางอย่างในเมืองไทย คุณเอริค่าภรรยาของผมบอกว่า ถ้าคนที่นี่ไม่เห็นค่าเราก็ไม่เป็นไร สันติ...คุณทำให้คนทั้งโลกเห็นสิ ก็แล้วกัน ประเทศไทยจะเก็บสันติไว้คนเดียวไม่ได้ โลกต้องรู้จักคนที่ชื่อสันติ คำพูดนี้ทำให้ผมมีกำลังใจสู้ต่อไป ตอนนั้นมีคนมาจ้างให้ผมปั้นหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่เลื่อน (ไฟเบอร์กลาส) แต่สุดท้ายลูกค้าก็ไม่รับงาน เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่า แต่ผมตัดสินใจนำงานไปอเมริกาด้วย ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่พลิกชีวิตของผม เพราะการเดินทางไปอเมริกาก็เป็นการตามคำแนะนำของคุณเอริค่า”
“การทำงานในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านใด หากเรามีความรักในสิ่งที่ทำ เราจะทุ่มเททั้งแรงกายและใจ ถามว่าจิตวิญญาณเกิดขึ้นจากไหน มันเกิดจากตัวตนของเราเอง หากเราไม่มีความรักในสิ่งที่ทำ เราจะไม่สามารถเสียสละและทุ่มเททั้งชีวิตและจิตวิญญาณให้กับงานนั้นได้ จิตวิญญาณและความรักที่เราใส่ลงไปในงานจะแสดงออกมาผ่านผลงานที่เราทำ”
“งานที่ผมปั้นเป็นรูปจำลองของบุคคลที่มีความดีงามและคุณสมบัติที่น่าชื่นชม การเชื่อมโยงจิตวิญญาณของเราเข้ากับพวกท่านเหล่านั้นผ่านการปั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อผมใส่ทั้งความรักและจิตวิญญาณลงไปในผลงาน จึงทำให้บางคนบอกว่ารูปปั้นเหมือนขยับได้ ไม่ใช่แค่เหมือนจริง แต่กลับกลายเป็นมีชีวิต การทำงานด้วยจิตวิญญาณทำให้ผลงานสะท้อนความเป็นชีวิตและจิตวิญญาณออกมา”
“ในปีแรกที่ผมเข้าร่วมการประกวด ArtPrize ที่มิชิแกน ในปี ค.ศ.2010 ผลงานหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เลื่อนของผมติดอันดับ 1 ใน 25 จากศิลปินทั้งหมด 1,713 คนจากทั่วโลก ถึงแม้จะมีคำวิจารณ์ว่ามันไม่ใช่รูปปั้นแท้ ๆ แต่ผมก็ได้รับกำลังใจจากศิลปินระดับโลกและผู้ชมจำนวนมาก หลวงปู่เลื่อนกลายเป็นเรื่อง Talk of the Town ที่ศิลปินต่างชาติต่างชมว่าผลงานของเรามีความเหมือนจริงมากจนยุงยังเกาะได้”
“ในการประกวดในปีถัดมาในปี ค.ศ.2011 ผมได้ทำรูปปั้นของ Gerard Alford ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีคนที่ 38 ของสหรัฐอเมริกา โดยผมพยายามทำให้มันเหมือนจริงจนเหมือนเขากำลังมายืนชมงานและให้คะแนนผมเอง ผลงานนี้ได้รับคะแนนเสียงจากผู้ชมอย่างท่วมท้น และทำให้ผมติด 1 ใน 4 ของศิลปะทุกแขนงจากศิลปิน 1,582 คนทั่วโลก รวมทั้งได้รับรางวัลอันดับ 1 ของนักปั้นทั่วโลก จาก 39 ประเทศและ 42 รัฐในอเมริกา”
“ในปี พ.ศ.2556 ผมได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการ Portrait Society of America ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับโลกที่มีเกียรติ งานของผมได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 15 ชิ้นจากศิลปิน 800 คนทั่วโลก และในปี พ.ศ.2557 Safari Club International ได้ยกย่องให้ผมเป็นประติมากรอันดับหนึ่งของโลกในปีนั้น”
“ในช่วงปี พ.ศ. 2555-2556 ผมเคยมีแกลเลอรี่ที่รามคำแหง 164 ก่อนที่จะย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ปัจจุบันผมมีแกลเลอรี่ที่สหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาวน์ทาวน์ไวท์ฟิช รัฐมอนทาน่า ซึ่งผมได้นำโบสถ์เก่าอายุ 110 ปี มาบูรณะใหม่ให้กลายเป็นแกลเลอรี่ที่สวยงามที่สุดในรัฐนี้ คนที่นี่บอกว่ามันดูเหมือนพิพิธภัณฑ์มากกว่าแกลเลอรี่ ในช่วงซัมเมอร์ปี พ.ศ. 2559 นี้ ผมมีแผนจะเชิญศิลปินไทยมาจัดแสดงผลงานที่แกลเลอรี่ของผม เพื่อให้คนต่างชาติได้เห็นผลงานของศิลปินไทยกันบ้าง”
ที่สุดของความภาคภูมิใจ
“ผลงานที่ผมภาคภูมิใจที่สุดก็คือการปั้นรูปพระพักตร์ของในหลวง ‘รอยยิ้มของพ่อ’ ที่มีพระพักตร์สดใสและพระสรวลแย้ม ผมเคยคิดจะปั้นพระองค์ท่านมานาน แต่ไม่กล้าและไม่มีโอกาส จนกระทั่งได้รับความมั่นใจจากรางวัลเวทีโลกที่ทำให้ผมกล้าตัดสินใจปั้นถวายพระองค์ ผมเริ่มต้นการปั้นที่โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น รัฐแมซซาซูเซส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงประสูติ โดยใช้ดินเซรามิคสีขาวที่ไม่เหมือนใครในการสร้างโครงปั้น”
“วันที่ 27 สิงหาคม 2556 ระหว่างเวลา 09:00-10:30 น. ผมได้เริ่มปั้นในห้องข้างๆ ที่โรงพยาบาล ซึ่งแม้ตึกที่พระองค์ทรงประสูติจะถูกทุบทิ้งไปแล้ว แต่ห้องที่ผมทำงานอยู่ก็ยังมีอายุราวเดียวกัน ผมได้บันทึกวิดีโอขณะทำงาน และมันกลายเป็นความภูมิใจในชีวิต เมื่อผมเสร็จสิ้นและนำงานไปถวายพระองค์ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ที่พระราชวังไกลกังวล ท่านรองราชเลขาได้มารับแทนพระองค์และแนะนำให้ทำสีใหม่เพราะอาจจะดูเข้มไป เมื่อท่านรองฯ เห็นก็ชื่นชมว่านี่คือรูปปั้นที่เหมือนจริงที่สุดที่เคยมีมา และวันถัดมาท่านรองยังได้แจ้งว่าในหลวงทรงโปรด และยังถามว่ารูปปั้นหนักกี่กิโล เพื่อที่จะนำไปโชว์ที่ท้องพระโรง”
“ขณะนี้ผมกำลังทำโปรเจ็กต์ใหญ่ที่อยากให้คนไทยร่วมมือกันสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในโลกนี้ นั่นคือประติมากรรมเหมือนจริงของพระพุทธเจ้าในปางสมาธิ ขนาดสูง 19 เมตร นั่งอยู่บนฐานสูง 17 เมตร ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ จนถึงปริณิพาน พร้อมกับการรวบรวมพระธรรมคำสอนที่แท้จริงที่สุด โครงการนี้มีชื่อว่า ‘ร่วมค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า’ ซึ่งไม่ใช่แค่การปั้นพระพักตร์ของพระองค์ แต่ยังเป็นการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับพุทธศาสนา โดยร่วมมือกับนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และปรมาจารย์ด้านพุทธศาสนาจากทั่วโลก”
“โปรเจ็กต์นี้ไม่ได้เป็นความคิดของผมเพียงคนเดียว คุณเอริค่าเป็นผู้เขียนหนังสือ ‘ร่วมค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามประวัติศาสตร์โลก’ โดยมีทีมงานนักข่าวมืออาชีพจากไทยเป็นผู้แปล ขณะที่ผมทำหน้าที่ในการเรียบเรียง รายได้จากการจำหน่ายหนังสือและเหรียญเบญจอรหันต์ คงกระพันความดีบารมี ๕๙ จะถูกนำไปใช้เป็นค่าเดินทางและการทำสารคดีทั้งในภาคภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งจะเผยแพร่พร้อมกันทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำรายได้บางส่วนไปซื้อที่ดินที่คนทิ้งและไม่เห็นคุณค่า เพื่อนำมาพัฒนาให้สวยงามตามหลักคำสอนของพระองค์ โดยทำสิ่งที่คนไม่เห็นคุณค่าให้กลายเป็นสิ่งที่มีค่าและเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมสมทบทุนโครงการนี้ เราจะทำให้ดีที่สุดและพยายามประหยัดเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ในปลายปี พ.ศ. 2560 เราจะจัดการประชุมใหญ่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ โดยเชิญปรมาจารย์ด้านพุทธศาสนาจากทั่วโลกมาหารือเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ท่านสามารถสนับสนุนโครงการนี้ได้โดยการซื้อหนังสือ ‘ร่วมค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามประวัติศาสตร์โลก’ และเช่าจองเหรียญเบญจอรหันต์ คงกระพันความดี บารมี ๕๙ ที่เซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนครับ”