ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
กระแสความโด่งดังของน้ารามกำลังระเบิดเต็มที่!!
"ความสำเร็จในครั้งนี้ต้องยกเครดิตให้กับบทโทรทัศน์ที่เขียนออกมาอย่างยอดเยี่ยม"
เสียงอ่อนโยนและนิ่งขรึมของ "อู๋-ธนากร โปษยานนท์" นักแสดงหนุ่มที่กลับมาฉายแสงอีกครั้งกับบทบาท "น้าราม" ในละครเรื่อง "ตามรักคืนใจ" ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นบทประพันธ์ที่เหมาะสมกับตัวเขามากที่สุด เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 18 ปีก่อน "อู๋-ธนากร" ก็เคยโด่งดังในบท "นายสิงห์" พระเอกในเรื่องนี้

"พี่ดา-หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ ผู้จัดละคร กล่าวถึงการปรับปรุงเนื้อหาของละคร 'ตามรักคืนใจ' ในเวอร์ชันปัจจุบันที่มีการเน้นประเด็นความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูกมากขึ้น โดยตัวผมเองก็ได้ขอคำแนะนำจากพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ที่เคยรับบท 'น้าราม' ในเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ผมถามเพียงคำถามเดียวเกี่ยวกับการมีลูก เพราะตัวเองไม่มีลูกจึงไม่สามารถเข้าใจความปรารถนานี้ได้ ส่วนความนิยมที่เกิดขึ้นคงมาจากการเขียนบทที่ดี ซึ่งผมก็เพียงถ่ายทอดบทบาทที่ดีออกมาให้ผู้ชมเห็น กระแสความนิยมมันมีขึ้นมีลงอย่าได้หลงระเริง ขอแค่รู้สึกว่าทำงานให้เต็มที่แล้วได้รับการยอมรับจากผู้ชมก็พอแล้ว" อู๋-ธนากร กล่าวถึงกระแสความนิยมของตัวละครน้าราม
ท่าทางสงบและรอยยิ้มเล็กน้อยของ ชายหนุ่มคนนี้เผยให้เห็นความเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เขายอมรับในลักษณะนี้ แต่ก็เสริมว่า เขาไม่ใช่คนที่เก็บตัวหรือกลัวโลกภายนอก เพียงแต่ไม่ชอบที่จะเป็นผู้นำหรือผู้ตามในการทำสิ่งใดๆ เขาจะประเมินความสามารถของตัวเองก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใด เพราะเขามีความเชื่อว่า หากทำสิ่งใดต้องมีความสุขและชื่นชอบสิ่งนั้นก่อนจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
ฝีมือการแสดงของ "อู๋-ธนากร" ได้พิสูจน์ให้เห็นมาตลอดกว่า 21 ปีในวงการบันเทิง โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้จัดละครฝีมือเยี่ยมอย่าง "ยุวดี ไทหิรัญ" ผู้ที่ปลุกปั้นและชักชวนเขาให้อยู่ในวงการบันเทิงแทนที่จะไปศึกษาต่อ
"ในตอนแรกผมมาหาประสบการณ์หลังจากจบมหาวิทยาลัย คิดว่าจะไปเรียนต่อ แต่ยังไม่รู้จะเลือกเส้นทางไหน พอมาเล่นละครก็พบว่าตัวเองชอบงานในวงการนี้ แต่ไม่ใช่การอยู่หน้าจอ ผมอยากทำงานเบื้องหลัง จึงตั้งใจไปเรียนด้านฟิล์ม แต่พี่อายุ (ยุวดี) แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องไปเรียนที่ไหน เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงจากผู้รู้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อและเริ่มศึกษางานเบื้องหลังอย่างจริงจัง", อู๋-ธนากร กล่าว
เมื่อมุ่งมั่นสู่การทำงานเบื้องหลัง "อู๋-ธนากร" จึงก่อตั้งบริษัทครีเอทีฟโปรดักชั่น 'Charm Entertainment' และเปิดร้านอาหาร Kyoto Yoshino Okonomi Yaki พร้อมกับรับงานแสดง รวมทั้งดำเนินงาน 3 ด้านที่เขาหลงใหล
การทำอาหารเป็นสิ่งที่เขาสนใจมาเกือบ 8-9 ปี เนื่องจากเขาตื่นเช้ากว่าทุกคนในบ้าน จึงมีโอกาสได้เข้าครัวและจับตะหลิวอย่างจริงจัง ในวันที่ไม่มีคิวถ่ายละคร นักแสดงหนุ่มจะใช้เวลาทั้งวันในครัว และบางครั้งก็จะนำอาหารไปฝากที่ออฟฟิศของน้องๆ ด้วย
"ถ้าใครไม่อยากทานก็จะบังคับให้ทาน (หัวเราะเบาๆ) จริงๆ ร้านอาหารนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ผมถือหุ้นร่วมกับรุ่นพี่ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนที่วชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งพ่อของเขามีทักษะในการทำโอโคโนมิยากิ ทำให้เกิดร้าน Kyoto Yoshino Okonomi Yaki ซึ่งผมช่วยแค่บางส่วนเพราะไม่มีเวลามาก
ส่วนบริษัทนั้น พี่เขามาช่วยดูแลช่วงแรกๆ เพราะตอนนั้นผมยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการบริหาร โชคดีที่ได้พี่เขามาช่วย เขามีความคิดสร้างสรรค์และมุมมองที่แตกต่าง เขาคือไอดอลของผม ทำให้ผมได้เรียนรู้การบริหารที่ถูกต้อง จนตอนนี้บริษัทดำเนินการมาได้ร่วม 10 ปีแล้ว
ผู้ที่ติดตาม "อู๋-ธนากร" จะทราบว่าเขาได้รับตำแหน่งทูตการท่องเที่ยวประจำเมืองคางาวะ ซึ่งเขากล่าวว่า เขามีความสนใจในประเทศญี่ปุ่นมาตลอด เคยขับรถจากเมืองใหญ่ไปยังเมืองเล็กเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง จนเกิดความประทับใจและเมื่อมีทีมงานญี่ปุ่นมาชักชวน เขาจึงตอบรับอย่างง่ายดาย
"การที่ผมรับงานนี้ก็เพราะความชื่นชอบส่วนตัวในการเข้าใกล้ชิดและสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คน เราต้องไปเมืองเล็กๆ ในการเดินทางครั้งแรกจะเน้นเรื่องอาหารเพราะคางาวะเป็นต้นกำเนิดของอุด้ง
ครั้งต่อไปที่ผมได้ไปเยี่ยมชมงานศิลปะ ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่เหมือนหลุดเข้าไปในโลกของคนรักศิลปะจริง ๆ ผมรู้สึกถึงความลึกซึ้งของงานศิลปะที่สัมผัสได้ บางชิ้นทำให้ผมขนลุกและน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว งานศิลปะที่จัดแสดงไม่ได้จำกัดเฉพาะศิลปินญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีศิลปินจากทั่วโลกเข้าร่วม โดยมีแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับชุมชนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมิวเซียมใต้ดินหรือการรักษาธรรมชาติอย่างการไม่ตัดต้นไม้ ซึ่งนี่คือเสน่ห์ของญี่ปุ่น ที่ทำเพื่อคนในชาติจริง ๆ
"อู๋-ธนากร" ถือเป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกช่วงเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 43 ปี แต่จุดเปลี่ยนในความคิดของเขาเกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในเช้าวันหนึ่งที่ตื่นมาพร้อมคำถามในใจว่า สิ่งที่ทำในทุกวันนี้คือความสุขที่แท้จริงหรือไม่? และในที่สุดเขาก็พบคำตอบ
"เมื่อก่อนผมเคยใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วในวงการบันเทิง ผมทำงานเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อหาเงินได้ก็ใช้มันอย่างเต็มที่ โดยไม่คิดถึงอนาคต แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ถามตัวเองแล้ว ผมจึงรู้ว่า มันไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน จนกระทั่งเริ่มหันมาฟังธรรมะ ถึงแม้แต่ก่อนแค่ได้ยินคำว่า 'นโม' ก็หลับแล้ว (หัวเราะ) แต่หลังจากได้ฟังคำสอนจากหลวงปู่ชา ทำให้ผมได้เข้าใจและเริ่มทบทวนชีวิต
สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมคือคำสอนของครูบาอาจารย์ ผมเคยบวชครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมยกมือบอกพระพุทธเจ้าว่า ผมเข้าใจคำสอนของท่าน แต่ขอใช้ชีวิตกับกิเลสก่อนสักหน่อย สิบปีผ่านไป ผมบวชอีกครั้ง และยกมือบอกท่านว่า คำพูดเมื่อ 10 ปีก่อนผมขอยกเลิก (หัวเราะ)
เพราะตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า คำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นธรรมชาติที่ดีที่สุด ทุกข์เกิดขึ้นจากการยึดติดกับตัวตนของเรา ถ้าเราละทิ้งตัวตนไป ความสุขก็จะเกิดขึ้นตามมา แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ยังคงยึดติดกับความสุข
ดังนั้นการอยู่ในจุดที่ไม่สุดโต่งทั้งสองด้าน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่ผมพูดนี้ยังไม่ใช่การทำได้แล้วครับ แต่เป็นแค่การศึกษาหาความรู้และพยายามทำความเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเส้นทางที่เราต้องเดินไปในทางที่ถูกต้อง