
ผลงานสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามคือ การออกแบบระบบข้าราชการพลเรือนจาก 11 ซี เป็น 4 แท่ง ซึ่งทำให้กับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำยุทธศาสตร์ 11 ด้านที่พัฒนาประเทศในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เขาคือ ออ-อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาอาวุโสของสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ (สปร.) และกรรมการผู้จัดการของบริษัท วินทูเกเตอร์ จำกัด ธุรกิจที่ให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ อดิศัยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ และระดับปริญญาโทจากคณะรัฐศาสตร์ในสาขาสังคมวิทยาและการเมืองของสังคมยุคใหม่จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศสหราชอาณาจักร
ในวันสบายๆ ออ-อดิศัย เลือกที่จะถอดสูทและแต่งตัวตามสไตล์ที่ชอบ ก่อนที่จะมานั่งพูดคุยเกี่ยวกับงานและไลฟ์สไตล์ของเขา
อดิศัยอธิบายถึงบทบาทของที่ปรึกษาว่า คือการเข้าไปในหน่วยงานเพื่อรับฟังว่าเขาต้องการให้องค์กรเติบโตไปในทิศทางใด จากนั้นจะศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น คิดหาวิธีแก้ไข และดำเนินการต่อไป เช่นเดียวกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่กำลังจะพาไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะต้องพิจารณาการปรับกระบวนงานและคนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ปรึกษาจะนำประสบการณ์จากต่างประเทศและภาครัฐมาใช้ในการปรับตัว เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ การดำเนินการจะใช้เวลาขึ้นอยู่กับขนาดของปัญหา ปัญหาสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ขณะที่บางโครงการที่มีปัญหายาวนานอาจใช้เวลานานถึง 1 ปี หรือบางโครงการที่ยาวนานถึง 10 ปี ก็กำลังดำเนินการแก้ไขอยู่
"การทำงานที่ปรึกษาคือการเรียนรู้และสนุกกับสิ่งที่ทำ เพียงแค่เข้าใจและฟังให้มากเกี่ยวกับองค์กรนั้นๆ ซึ่งมีภารกิจและปัญหาที่แตกต่างกันไป อย่างผมเองชอบการเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำให้ต้องศึกษาระบบราชการอย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงของระบบสำเร็จไม่ใช่แค่ที่ปรึกษา แต่มาจากผู้บริหารขององค์กรนั้นๆ ที่ต้องสื่อสารและทำงานร่วมกับทีมให้เข้าใจ เพื่อให้คนในองค์กรเห็นความสำคัญและร่วมมือกัน"
หนุ่มวัย 36 ปีที่มีความเชี่ยวชาญในงานที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบบริหารจัดการ เขาเป็นที่ปรึกษาให้กับหลายหน่วยงานภาครัฐ และได้สั่งสมประสบการณ์จนเข้าใจระบบราชการไทยอย่างลึกซึ้ง

"ข้าราชการไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบพอให้เสร็จไปวันๆ ทำเหมือนเดิมทุกวัน มีเพียง 30% ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ถ้าต้องการให้ระบบราชการไทยทำงานมีประสิทธิภาพ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบการบรรจุแต่งตั้งใหม่ วิธีการเก็บรักษาและสรรหาผู้บริหาร ต้องหาวิธีที่จะได้ข้าราชการที่ดีและเก่ง โดยทางที่ดีที่สุดคือ การให้ทุนการศึกษาเยอะๆ เพื่อเรียนในสาขาที่สำคัญในอนาคต พร้อมผูกมัดว่าให้กลับมาทำงานใช้ทุนตั้งแต่ระดับประถมปีที่ 6 ไม่งั้นจะไม่สามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้"
"สำหรับระบบราชการในอนาคต ยังมองไม่ออก แต่เชื่อว่าใน 10 ปีที่ผ่านมาระบบดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การเสียภาษีออนไลน์ได้และการทำพาสปอร์ตเสร็จภายในครึ่งวัน ใน 10 ปีข้างหน้าเราก็น่าจะเห็นการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น อาจจะมีการจ้างงานร่วมระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชนมากขึ้น เพื่อให้การทำงานดีขึ้นและมีเราคอยช่วยทำ (ยิ้ม)"
เขาคือคนที่ทำงานหนักไม่มีวันหยุด 7 วัน เขาบริหารชีวิตได้โดยไม่ต้องมีที่ปรึกษา รู้ตัวเองเมื่อไหร่ที่เครียดจะไปช้อปปิ้งของแฟชั่น ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ทำให้เขามีความสุขทุกครั้งที่ "เปิดตู้สะสมของแฟชั่น" ขึ้นมา
"ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมหลงรักแฟชั่นมากคือ มันทำให้สิ่งที่มีค่าน้อยกลับมีค่ามาก แค่การสื่อสารก็สามารถขายสินค้าได้ในราคาหมื่นถึงแสน ผมเรียนรู้วิธีการของเขาว่าจะทำอย่างไรในข้อเสนอจากคนตัวเล็กๆ อย่างผม จะกลายเป็นข้อเสนอระดับประเทศได้ พบว่า ความสำเร็จขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสาร โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะเป็นคนเบื้องหลัง ไม่ต้องพูดอวดโอ้ว่าฉันทำ ฉันเก่ง เพราะไม่มีใครเชื่อผม แต่ถ้าบอกว่า "ท่านทำ" จะดูน่าเชื่อถือมากกว่า"
"ผมสะสมของแฟชั่นมาตลอด 10 ปี มีทั้งบ้าน ครึ่งหนึ่งของที่สะสมจะเอาไปบริจาคให้เด็กชาวเขาทุกปี แม้เด็กๆ จะไม่รู้ว่าได้ของดีอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม เพื่อนๆ ก็มักจะตำหนิผม ทำไมไม่เอาของไปขายแล้วเอาเงินไปให้เด็กแทน ผมตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่งานมันเยอะมาก จนยังไม่ได้ทำเลย" อดิศัยเล่าทั้งหัวเราะ
อดิศัยได้แบ่งปันถึงวิธีการดำเนินชีวิตของเขาว่า เขามักจะวางแผนล่วงหน้าเสมอ โดยคิดถึงภาพของตัวเองในอนาคต แล้วย้อนมาดูสิ่งที่ทำในปัจจุบันว่า จะรู้สึกดีใจหรือเสียดายไหมกับการตัดสินใจในแต่ละช่วงเวลา เขาจะถามตัวเองแบบนี้ทุกๆ 1-2 เดือน และเขาก็ดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่รัก ทั้งเรื่องการเรียนและการงาน ทำให้เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ด้วยความเต็มใจ ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ แม้ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย แต่เชื่อมั่นว่าเมื่อทำทุกอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกสิ่งจะผ่านไปได้ และด้วยการรักษาความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนและโอกาสจากผู้ใหญ่จนมาถึงจุดนี้
"ในส่วนที่ผมทำก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ การไปเรียนที่อังกฤษทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่มีที่ไหนดีไปกว่าบ้านเกิดของเรา ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย และภูมิใจที่มีในหลวง ผมจึงตั้งใจทำงานเพื่อให้ประเทศนี้เจริญรุ่งเรือง"
"ผมอยากให้คนไทยทุกคนร่วมกันภูมิใจในความเป็นไทยและกล้าที่จะบอกออกไปว่า I am Thailand" อดิศัยกล่าวทิ้งท้าย