ประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สวยงามและฝังรากลึกในวิถีชีวิตของคนไทย คำว่า "สงกรานต์" มีต้นกำเนิดจากภาษาสันสกฤต แปลว่า การเคลื่อนผ่านหรือการย้ายตำแหน่ง ซึ่งหมายถึง การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เข้าสู่จักรราศีต่างๆ โดยทั่วไปคนไทยจะใช้คำนี้เพื่อระบุเฉพาะช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่านั้น
ความหมายของคำว่า "สงกรานต์"
"สงกรานต์" เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า "ผ่าน" หรือ "เคลื่อนที่เข้าไป" ในที่นี้หมายถึงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของสงกรานต์ หากดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ในช่วงเดือนอื่น จะถือเป็นการเคลื่อนที่ปกติตามธรรมชาติ โดยทั่วไปดวงอาทิตย์จะเคลื่อนจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีทุกเดือน ตามหลักโหราศาสตร์เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น เมื่อดวงอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ หมายถึงการเคลื่อนจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไป
ด้วยเหตุนี้ สงกรานต์ ซึ่งแปลว่า การผ่านหรือการเคลื่อนที่ วันสงกรานต์ จึงเกิดขึ้นทุกเดือน เนื่องจากดวงอาทิตย์จะเคลื่อนจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีถัดไปเดือนละหนึ่งครั้งเสมอ
ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามหลักโหราศาสตร์) หรือเคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายน (ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) ถือเป็นกรณีพิเศษที่เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่และวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหราจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ในอดีตเดือนเมษายนถูกนับเป็นเดือนแรกของปี สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กำหนดให้วันที่ 1 เมษายน ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากสอดคล้องกับประเพณีโบราณที่วันดังกล่าวตรงกับวันสงกรานต์ หรือวันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนสู่ราศีเมษ
ตั้งแต่นั้นมา วันที่ 1 เมษายน ได้ถูกกำหนดเป็นวันปีใหม่ของไทย แม้ว่าในบางปีอาจไม่ตรงกับวันสงกรานต์ (วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนสู่ราศีเมษ) ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้มีวันปีใหม่ที่แน่นอนตามระบบสุริยคติ

ต่อมาในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2483 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศให้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและใช้มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังกำหนดให้วันที่ 14 เมษายนเป็น "วันครอบครัว" อีกด้วย
เมื่อถึงเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 13 เมษายนของทุกปี เราจะเรียกวันนี้ว่า "วันสงกรานต์" ซึ่งเป็นประเพณีไทยดั้งเดิมที่ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ในวันนี้คนไทยจะมีการเฉลิมฉลอง รื่นเริง และรดน้ำดำหัว โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวจะสนุกสนานกับการสาดน้ำกันอย่างเต็มที่ ในหลายพื้นที่ชนบทยังมีการละเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ บางแห่งเริ่มการเฉลิมฉลองตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน และสนุกสนานกันไปประมาณ 1 สัปดาห์หรือมากกว่า แต่ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ในช่วงนี้จะมีการนำน้ำหอมและเสื้อผ้าไปรดน้ำผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องที่เคารพนับถือ รวมถึงการจัดพิธีบายศรีพระสงฆ์และสรงน้ำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่าง ๆ
ประวัติความเป็นมาของวันสงกรานต์
ต้นกำเนิดของวันสงกรานต์ มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา ซึ่งถูกบันทึกไว้ในจารึกวัดเชตุพน ฯ เพื่อเป็นความรู้สำหรับสาธุชน ดังต่อไปนี้
"...ในยุคต้นภัทรกัลป์ มีเศรษฐีผู้มั่งคั่งแต่ไร้ซึ่งบุตร อาศัยอยู่ใกล้กับนักเลงสุรา ซึ่งมีบุตรชาย 2 คน ผิวพรรณงดงามดุจทอง วันหนึ่งนักเลงสุราได้ด่าเศรษฐีด้วยคำหยาบคาย ทำให้เศรษฐีถามเหตุผล นักเลงสุราตอบว่า เศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมากแต่ไร้ทายาท เมื่อตายไปสมบัติก็สูญเปล่า ส่วนตนมีบุตรชายงดงามถึง 2 คน เศรษฐีได้ฟังก็ละอายใจ จึงตั้งใจอยากมีบุตรบ้าง จึงบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์เพื่อขอบุตร แต่ผ่านไป 3 ปีก็ยังไม่สมหวัง
เมื่อการขอบุตรจากพระอาทิตย์และพระจันทร์ไม่เป็นผล ในวันหนึ่งซึ่งตรงกับฤดูคิมหันต์ จิตรมาส (เดือน 5) ซึ่งเป็นวันมหาสงกรานต์ ที่พระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนสู่ราศีเมษ ผู้คนต่างเฉลิมฉลองปีใหม่กันทั่วชมพูทวีป เศรษฐีจึงพาบริวารไปยังต้นไทรริมแม่น้ำ นำข้าวสารซาวน้ำ 7 ครั้งมาหุงบูชารุกขพระไทร พร้อมเครื่องสังเวยและดนตรีประโคม ตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร รุกขพระไทรเห็นใจจึงเหาะไปขอบุตรจากพระอินทร์ให้เศรษฐี
พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาเกิดในครรภ์ของมนุษย์ บิดามารดาตั้งชื่อให้ว่าธรรมบาลกุมาร และสร้างปราสาทให้กุมารอาศัยอยู่ใต้ต้นไทรริมแม่น้ำ เมื่อกุมารเติบโตขึ้นก็สามารถเข้าใจภาษานกและศึกษาจบไตรเพทเมื่ออายุเพียง 8 ขวบ จากนั้นก็กลายเป็นอาจารย์ผู้สอนมงคลต่าง ๆ แก่มนุษย์ทั่วชมพูทวีป ในยุคที่ผู้คนนับถือท้าวมหาพรหมและกบิลพรหม ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับมงคลแก่มนุษย์
เมื่อกบิลพรหมทราบว่าธรรมบาลกุมารมีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือของมนุษย์ จึงลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ดังนี้
- เวลารุ่งเช้า สิริหรือราศีอยู่ที่ใด
- เวลากลางวัน สิริหรือราศีอยู่ที่ใด
- เวลาเย็น สิริหรือราศีอยู่ที่ใด
กบิลพรหมให้สัญญาว่าหากธรรมบาลกุมารแก้ปัญหาได้ จะตัดศีรษะตนเองบูชา แต่หากแก้ไม่ได้ จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารแทน ธรรมบาลกุมารรับคำท้าแต่ขอยืดเวลาการแก้ปัญหาไป 7 วัน กบิลพรหมจึงกลับไปยังพรหมโลก
ธรรมบาลกุมารพยายามคิดหาคำตอบ แต่ผ่านไป 6 วันก็ยังไม่พบวิธีแก้ จึงคิดว่าตนอาจต้องตายเพราะคำสัญญากับกบิลพรหม จึงตัดสินใจหลบหนีไปซ่อนตัวใต้ต้นตาล 2 ต้น ซึ่งมีนกอินทรีคู่หนึ่งทำรังอยู่
ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล ได้ยินเสียงนางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้พวกเราจะหาอาหารจากที่ไหน สามีของนางนกอินทรีตอบว่า พรุ่งนี้ครบ 7 วันตามสัญญาที่ท้าวกบิลพรหมตั้งปัญหาให้ธรรมบาลกุมารแก้ หากแก้ไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะธรรมบาลกุมาร และพวกเราจะได้กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร นางนกอินทรีจึงถามว่าสามีรู้คำตอบปัญหาหรือไม่ สามีตอบว่ารู้และอธิบายให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบว่า
- เวลาเช้าราศีอยู่ที่ใบหน้า ผู้คนจึงใช้น้ำล้างหน้า
- เวลาเที่ยงราศีอยู่ที่อก ผู้คนจึงใช้น้ำและแป้งกระแจะจันทร์ทาที่อก
- เวลาเย็นราศีอยู่ที่เท้า ผู้คนจึงใช้น้ำล้างเท้า
ธรรมบาลกุมารที่แอบฟังการสนทนาของนกอินทรีทั้งสองจำคำตอบได้ จึงรู้สึกยินดีและมีความสุขเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงกลับไปยังปราสาทของตน
เมื่อครบ 7 วันที่ตกลงกันไว้ ท้าวกบิลพรหมก็ลงมาถามปัญหา 3 ข้อตามสัญญา ธรรมบาลกุมารตอบปัญหาทั้งสามข้อตามที่ได้ยินจากนกอินทรี ท้าวกบิลพรหมยอมรับว่าถูกต้องและยอมแพ้ พร้อมยินดีตัดศีรษะตนเองตามสัญญา แต่ก่อนตัดศีรษะ ท้าวกบิลพรหมได้เรียกธิดาทั้ง 7 ซึ่งเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์มาเฝ้า ได้แก่
- นางทุงษะเทวี
- นางรากษเทวี
- นางโคราคเทวี
- นางกิริณีเทวี
- นางมณฑาเทวี
- นางกิมิทาเทวี
- นางมโหธรเทวี
โลกสมมุติว่าธิดาทั้งเจ็ดคือองค์มหาสงกรานต์ พร้อมด้วยเหล่าเทพบรรษัทมาชุมนุมกัน ท้าวกบิลพรหมจึงเล่าเรื่องราวให้ฟังและตรัสว่า หากวางเศียรของตนบนพื้นดิน ไฟจะลุกไหม้ทั่วโลกธาตุ แต่หากโยนขึ้นฟ้าฝนจะแล้ง จึงสั่งให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับเศียรของตน หลังจากนั้นท้าวกบิลพรหมก็ตัดเศียรส่งให้นางทุงษะเทวี ธิดาองค์ใหญ่ ในขณะนั้นโลกธาตุก็เกิดความโกลาหลอลหม่าน
เมื่อนางทุงษะมหาสงกรานต์รับเศียรของท้าวกบิลพรหมด้วยพานแล้ว ก็ให้เหล่าเทพบรรษัทแห่เวียนรอบเขาพระสุเมรุราชเป็นเวลา 60 นาที จากนั้นจึงนำเศียรไปประดิษฐานในมณฑปที่ถ้ำคันธธุลี บนเขาไกรลาศ และทำการบูชาด้วยเครื่องสักการะทิพย์ พระวิษณุกรรมเทพบุตรได้เนรมิตโลงแก้วประดับด้วยแก้ว 7 ประการชื่อภัควดี มอบให้เทพธิดาและนางฟ้า เทพยดาทั้งหลายนำเถาฉมุนาตมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วแจกจ่ายสังเวยทั่วทุกองค์ เมื่อครบ 365 วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีหรือวันสงกรานต์ นางเทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะผลัดเปลี่ยนกันมาเชิญเศียรท้าวกบิลพรหมแห่รอบเขาพระสุเมรุราชทุกปี แล้วจึงกลับสู่เทวโลก
กิจกรรมวันสงกรานต์
แม้วันที่ 1 มกราคมจะเป็นวันขึ้นปีใหม่สากล แต่คนไทยยังคงให้ความสำคัญกับวันสงกรานต์ในฐานะวันขึ้นปีใหม่แบบไทย ดังนั้นเมื่อใกล้วันสงกรานต์ ผู้คนจะเตรียมทำความสะอาดบ้านเรือนและจัดเตรียมสิ่งของสำหรับทำบุญตักบาตร
การทำบุญตักบาตรและการสร้างกุศลด้วยการปล่อยนกปล่อยปลา
ในอดีต เมื่อถึงวันสงกรานต์ ผู้คนจะตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมอาหารสำหรับทำบุญที่วัด ทุกคนจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่สีสันสดใส โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวที่ต้องการโอกาสพบปะพูดคุยกัน แต่ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่
หลังจากทำบุญตักบาตรหรือเลี้ยงพระเสร็จสิ้น จะมีการบังสุกุลอัฐิของบรรพบุรุษเพื่ออุทิศส่วนกุศล นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การก่อพระเจดีย์ทรายเพื่อนำทรายเข้าวัดสำหรับใช้ในงานก่อสร้าง การปล่อยนกปล่อยปลาเพื่ออนุรักษ์พันธุ์สัตว์ และการสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ รวมถึงการเล่นสาดน้ำในหมู่หนุ่มสาว
การสรงน้ำพระพุทธรูป, การสรงน้ำพระสงฆ์
ผู้คนจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาพระพุทธรูป แล้วใช้น้ำอบประพรมที่องค์พระเพื่อความเป็นสิริมงคล บางพื้นที่มีการอัญเชิญพระพุทธรูปแห่รอบหมู่บ้านเพื่อให้ประชาชนสรงน้ำ หรืออาจนำพระพุทธรูปจากหิ้งบูชาในบ้านมาทำพิธีสรงน้ำในครอบครัว
ผู้คนจะรวมตัวกันที่วัดเพื่อนิมนต์พระสงฆ์มาร่วมพิธี การรดน้ำควรรดที่มือของพระสงฆ์ ไม่ควรราดน้ำเหมือนอาบน้ำ เพราะพระสงฆ์ถือเป็นผู้สูงศักดิ์ น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำฝนหรือน้ำสะอาดผสมน้ำอบไทย หลังสรงน้ำพระสงฆ์จะให้ศีลให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคล
การรดน้ำดำหัวขอพรญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือ
การรดน้ำผู้ใหญ่ภายในครอบครัว ลูกหลานจะเชิญพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และญาติผู้ใหญ่มานั่งในที่จัดเตรียมไว้ จากนั้นนำน้ำอบน้ำหอมผสมน้ำมารดให้ท่าน อาจรดที่มือหรือรดทั้งตัวก็ได้ ขณะรดน้ำท่านจะให้พรแก่ลูกหลาน หลังจากเสร็จพิธีจะมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ลูกหลานเตรียมไว้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ส่วนการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ มักจะมีผ้าไหว้ เช่น เสื้อผ้าและผ้าขาวม้า มอบให้ด้วย การรดน้ำมักจะรดที่มือและขอศีลขอพร เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้มีอาวุโสและผู้มีพระคุณตามประเพณีไทย บางหมู่บ้านอาจเชิญผู้สูงอายุมารวมกันเพื่อให้ลูกหลานรดน้ำขอพร ซึ่งเป็นประเพณีที่ดีที่ควรอนุรักษ์และส่งเสริม
การเล่นสาดน้ำสำหรับหนุ่มสาว
หลังจากทำพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ และรดน้ำขอพรจากญาติผู้ใหญ่แล้ว หนุ่มสาวจะเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน น้ำที่ใช้ต้องเป็นน้ำสะอาดผสมน้ำอบที่มีกลิ่นหอม บางคนอาจไม่เข้าใจวัฒนธรรมและจุดประสงค์ของการเล่นสาดน้ำในวันสงกรานต์ จึงใช้น้ำผสมสีหรือเมล็ดแมงลักสาดผู้อื่น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สถานที่เล่นสาดน้ำมักเป็นลานวัดหรือลานกว้างในหมู่บ้าน เมื่อเหนื่อยก็จะมีขนมและอาหารที่ชาวบ้านช่วยกันเตรียมไว้เลี้ยงกัน ในตอนเย็นทุกคนจะแยกย้ายกลับบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วกลับมารวมตัวกันที่ลานวัดอีกครั้งเพื่อร่วมการละเล่นพื้นเมือง
การละเล่นพื้นบ้านในวันสงกรานต์
การละเล่นพื้นบ้านหรือกีฬาพื้นเมือง เป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานและความสามัคคีระหว่างหนุ่มสาว โดยแบ่งเป็นสองฝ่ายเพื่อแข่งขันกัน มีผู้ใหญ่คอยเป็นกรรมการหรือควบคุมการเล่น ส่วนผู้สูงอายุก็คอยให้กำลังใจและเชียร์อยู่รอบข้าง
การละเล่นที่นิยมในวันสงกรานต์มีหลายรูปแบบ เช่น ชักเย่อ ไม้หึ่ง งูกินหาง ช่วงชัย วิ่งเปี้ยว เขย่งแตะ หลับตาตีหม้อ มอญซ่อนผ้า สะบ้า ขี่ม้าส่งเมือง ลิงชิงหลัก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเล่นเพลงยาว ลำตัด รำวง และการประกวดนางสงกรานต์ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สร้างความสนุกสนานและเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้ใกล้ชิดกัน เรียนรู้นิสัยใจคอ และพูดคุยกันอย่างเปิดเผย
ประเพณีการทำบุญและการละเล่นในวันสงกรานต์อาจแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นและยุคสมัย ในชนบทบางพื้นที่อาจกำหนดวันทำบุญและสรงน้ำพระไม่ตรงกัน ทำให้หนุ่มสาวมีโอกาสไปร่วมงานสงกรานต์ได้หลายแห่งในแต่ละปี วันสงกรานต์จึงเป็นประเพณีไทยโบราณที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้ทำความรู้จักและศึกษานิสัยใจคอกันอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องหลบซ่อนจากสายตาผู้ใหญ่
ความสำคัญของวันสงกรานต์
- เป็นวันหยุดประจำปีตามประเพณีไทย และถือเป็นวันหยุดสำหรับการพักผ่อนหรือทำธุรกิจ
- เป็นวันทำบุญตักบาตร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม และบังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ
- เป็นวันแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยการรดน้ำดำหัวขอพรจากพ่อแม่และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ วันสงกรานต์ยังถือเป็นวันสูงอายุแห่งชาติ
- เป็นวันรวมญาติมิตรที่อยู่ห่างไกลให้กลับมาร่วมทำบุญสร้างกุศล โดยกำหนดให้วันที่ 15 เมษายนเป็นวันครอบครัว
- เป็นวันอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและส่งเสริมการละเล่นพื้นบ้าน เช่น การทำบุญตักบาตร เล่นสาดน้ำ ชักเย่อ มอญซ่อนผ้า และเล่นสะบ้า
- เป็นวันประกอบพิธีทางศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม บังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล สรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ ขนทรายเข้าวัด (ก่อพระเจดีย์ทราย) รับศีล และปฏิบัติธรรม
“13” เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “สงกรานต์”
“ประเพณีสงกรานต์” เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานและมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงกลายเป็น “เทศกาลสงกรานต์” อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่รู้หรือไม่? ในสิ่งที่เรารู้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้เราจะพามาดู 13 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสงกรานต์ว่ามีอะไรบ้าง
ในวันสงกรานต์ คนไทยมักทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ทำความสะอาดบ้าน และเล่นสาดน้ำเพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้ร่างกาย ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปตามจังหวัดต่าง ๆ แต่สงกรานต์ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ อีก ดังนี้
1. สมัยก่อน “วันปีใหม่ไทย” ไม่ตรงกับวันสงกรานต์ ในอดีต วันขึ้น 1 ค่ำถือเป็น “วันปีใหม่ไทย” ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้วันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่
2. ไม่ใช่แค่ไทยที่มีประเพณีสงกรานต์ ชนชาติอื่นก็มีเช่นกัน นอกจากไทยแล้ว ชนชาติอื่น ๆ เช่น พม่า มอญ ลาว และกลุ่มคนไทยเชื้อสายในจีนและอินเดียก็มีประเพณีสงกรานต์ที่สืบทอดกันมายาวนาน และถือเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ของพวกเขาด้วย
3. ภาคกลางเรียกวันที่ 13 เมษายนว่า “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งเป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ส่วนวันที่ 14 เมษายนเรียกว่า “วันเนา” และในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ประกาศให้วันนี้เป็น “วันครอบครัว” ส่วนวันที่ 15 เมษายนคือ “วันเถลิงศก” ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นจุลศักราชใหม่
4. ภาคเหนือเรียกวันที่ 13 เมษายนว่า “วันสังขารล่อง” ซึ่งหมายถึงวันสิ้นอายุขัยอีกปี ส่วนวันที่ 14 เมษายนเรียกว่า “วันเน่า” ที่ชาวล้านนาเชื่อว่าห้ามพูดจาหยาบคาย มิฉะนั้นชีวิตจะไม่เจริญรุ่งเรือง และวันที่ 15 เมษายนเรียกว่า “วันพญาวัน” ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนศกใหม่
5. ภาคใต้เรียกวันที่ 13 เมษายนว่า “วันเจ้าเมืองเก่า” หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า” ซึ่งเชื่อว่าเป็นวันที่เทวดาปกปักรักษาบ้านเมืองกลับสวรรค์ วันที่ 14 เมษายนเรียกว่า “วันว่าง” ที่ชาวบ้านงดงานเพื่อไปทำบุญที่วัด และวันที่ 15 เมษายนเรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” เพื่อต้อนรับเทวดาองค์ใหม่
6. ตำนานสงกรานต์ที่ถูกจารึก ตำนานสงกรานต์เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเพณีและนางสงกรานต์ทั้ง 7 โดยรัชกาลที่ 3 โปรดให้จารึกลงบนแผ่นศิลา 7 แผ่น ประดับไว้ที่ศาลารอบมณฑบทิศเหนือในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์
7. นางสงกรานต์คือนางฟ้าจากชั้นจตุมหาราชิกา นางสงกรานต์ทั้ง 7 องค์เป็นพี่น้องกัน กำเนิดในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นชั้นต่ำที่สุด และเป็นบาทบริจาริกาของ “พระอินทร์” นอกจากนี้ยังเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมตามตำนานอีกด้วย
8. นางสงกรานต์มีชื่อตามวันในสัปดาห์
- นางทุงษะเทวี ประจำวันอาทิตย์
- นางโคราคเทวี ประจำวันจันทร์
- นางรากษสเทวี ประจำวันอังคาร
- นางมณฑา ประจำวันพุธ
- นางกิริณี ประจำวันพฤหัสบดี
- นางกิมิทา ประจำวันศุกร์
- นางมโทร ประจำวันเสาร์
9. นางสงกรานต์แต่ละองค์มีพาหนะคู่กายที่ไม่เหมือนกัน พาหนะของนางสงกรานต์จะแตกต่างกันตามวันในสัปดาห์ ได้แก่ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคขี่เสือ นางรากษสขี่หมู นางมณฑาขี่ลา นางกิริณีขี่ช้าง นางกิมิทาขี่ควาย และนางมโหทรขี่นกยูง ซึ่งสัตว์เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับปีนักษัตรตามที่หลายคนเข้าใจ
10. นางสงกรานต์ประจำแต่ละปี คลิกอ่าน ประวัตินางสงกรานต์
11. รู้หรือไม่? คำว่า “ดำหัว” แปลว่า “สระผม” ในทางล้านนา การ “ดำหัว” ไม่ได้หมายถึงการสระผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการขออโหสิกรรมจากสิ่งที่ทำผิดพลาด และการขอพรจากผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต
12. ในวันสงกรานต์จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตนี้เรียกว่า “ตัวสงกรานต์” มีลักษณะคล้ายไส้เดือน ขนาดเล็กเท่าเส้นด้าย ยาวประมาณ 2 นิ้ว มีสีสันสะท้อนแสงและสามารถเปลี่ยนสีได้ มักอยู่รวมกันเป็นฝูงในแม่น้ำลำคลอง เมื่อจับขึ้นจากน้ำจะขาดเป็นท่อนและละลาย ปัจจุบันเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว
13. ที่มาของการก่อเจดีย์ทราย เรื่องเล่ามาว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สร้างเจดีย์ทราย 84,000 องค์เพื่ออุทิศเป็นพุทธบูชา เมื่อทูลถามพระพุทธเจ้าถึงอานิสงส์ พระองค์ตรัสว่าการสร้างเจดีย์ทรายแม้เพียงองค์เดียวก็จะได้รับอานิสงส์มาก ไม่ตกนรก หากเกิดเป็นมนุษย์จะมียศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สมบัติ เมื่อตายจะได้ขึ้นสวรรค์ นี่คือที่มาของประเพณีก่อเจดีย์ทราย