- ในอดีต วิชากฎหมายถูกจำกัดให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ทำให้ผู้หญิงถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าศึกษาในโรงเรียนกฎหมายและประกอบอาชีพด้านตุลาการ
- ด้วยความคิดที่ว่าผู้หญิงมีความอ่อนไหวทางอารมณ์และมีบทบาทหลักในการดูแลเด็ก เมื่อมีการอนุญาตให้ผู้หญิงสอบเป็นผู้พิพากษาได้ จึงจำกัดบทบาทให้ทำงานเฉพาะในศาลคดีเด็กและเยาวชนเท่านั้น
- แม้ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการจะไม่ใช้เพศเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้พิพากษา แต่ยังมีนักกฎหมายหลายคนที่เชื่อว่า การเพิ่มบทบาทของผู้หญิงในระบบกฎหมายไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ของผู้หญิงและกลุ่ม LGBTQ+ จะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 นางอโนชา ชีวิตโสภณ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานศาลฎีกา[1] ถือเป็นประธานศาลฎีกาคนที่ 49 และเป็นผู้หญิงคนที่ 3 ที่ดำรงตำแหน่งนี้ ต่อจาก เมทินี ชโลธร และ ปิยกุล บุญเพิ่ม
บทความ Rule Of Law สัปดาห์นี้มุ่งเน้นการสำรวจประวัติศาสตร์การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งตุลาการของผู้หญิง พร้อมแนะนำ ‘นักเรียนกฎหมายหญิงคนแรก’ และ ‘ผู้พิพากษาหญิงคนแรก’ เนื่องในโอกาสที่ผู้หญิงได้ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายตุลาการ
ผู้หญิงในโรงเรียนกฎหมาย
เป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาช้านาน โดยอนุญาตให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่สามารถศึกษาวิชากฎหมายได้ แม้จะมีการเริ่มสอนกฎหมายสมัยใหม่ในปี พ.ศ. 2440 (ร.ศ. 116)[2] แต่ธรรมเนียมนี้ยังคงดำรงอยู่ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2471 โรงเรียนกฎหมายได้เปิดรับ นางสาวแร่ม พรหโมบล เป็นนักเรียนหญิงคนแรก[3]
บทความ ‘สิทธิสตรีไทย จากวันวาน…ถึงวันนี้’[4] ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญเมื่อนางสาวแร่มได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนกฎหมายไว้ว่า
“วันนั้น ดิฉันสวมเสื้อคอปิดมิดชิด นุ่งผ้าซิ่นยาว ยืนอยู่หน้าห้องด้วยความประหม่า แต่ก็สูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อเตรียมใจให้กล้า แม้ประตูในสมัยนั้นจะเปิดกว้าง แต่มีม่านไม้กั้นบังตา การเข้าออกต้องผลักม่านไม้ เมื่อท่านเสนาบดีอนุญาตให้เข้า ดิฉันไม่ได้ผลักม่าน แต่ก้มลงคลานลอดใต้ม่านเข้าไป นั่งพับเพียบพร้อมกราบลงกับพื้นหน้าท่าน เมื่อท่านถามถึงความประสงค์ ดิฉันจึงกราบเรียนว่า ต้องการขอเข้าเรียนกฎหมาย และได้เล่าถึงชื่อบิดาและระดับการศึกษาที่จบมัธยมให้ท่านฟัง หลังจากรอสักพัก ท่านก็พยักหน้าให้อนุญาต ดิฉันดีใจจนแทบร้องไห้ ก้มกราบขอบพระคุณท่าน แล้วคลานลอดม่านไม้ออกมาเช่นเดิม”
มีข้อสังเกตว่าการที่นางสาวแร่มได้รับอนุญาตให้เป็นผู้หญิงคนแรกที่เรียนกฎหมาย อาจเป็นเพราะกิริยามารยาทอันงดงามของเธอที่สร้างความประทับใจให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมในสมัยนั้น[5] ในขณะที่บางการศึกษากล่าวว่า การเข้าเรียนของนางสาวแร่มอาจได้รับอิทธิพลจากบรรดาศักดิ์ของบิดา[6]
นางสาวแร่ม พรหโมบล เนติบัณฑิตหญิงคนแรก

ในปี พ.ศ. 2473 นางสาวแร่ม พรหโมบล ได้สำเร็จการศึกษาเป็นเนติบัณฑิตหญิงคนแรก[7] ต่อมา มีผู้หญิงอีก 2 คนที่สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมาย ได้แก่ นางสาวศิริ จูตี๋รัตน์ (ศิริ ปทุมรศ)[8] และนางสาวสุนทร ประเสริฐพงษ์[9] ซึ่งถือเป็นนักเรียนกฎหมายหญิงเพียง 3 คนในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนสู่ระบอบประชาธิปไตย ที่เน้นความเท่าเทียมและเสมอภาค โรงเรียนกฎหมายถูกโอนไปอยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และเริ่มรับนักเรียนทั้งหญิงและชายอย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม จำนวนนักเรียนหญิงยังคงน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ความเป็นคู่ตรงข้ามและข้อจำกัดของการเป็นผู้พิพากษาหญิง
แม้โรงเรียนกฎหมายจะเริ่มรับนักเรียนหญิงอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2477 แต่เส้นทางสู่การเป็นผู้พิพากษาหญิงยังเต็มไปด้วยอุปสรรค ผู้หญิงที่จบการศึกษาด้านกฎหมายไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้พิพากษาหรืออัยการ นางสาวแร่มจึงต้องหันไปทำงานเป็นทนายความ แม้ว่าเธอต้องการสอบเป็นผู้พิพากษาก็ตาม[10]
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ เป็นกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสอบเป็นผู้พิพากษา โดยระบุชัดเจนว่าต้องเป็นเพศชายเท่านั้น[11] การกำหนดคุณสมบัติด้านเพศสำหรับตำแหน่งผู้พิพากษานี้สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างชายและหญิง ซึ่งความรู้ด้านเพศในยุคหนึ่ง (ที่อาจยังมีอิทธิพลถึงปัจจุบัน) อธิบายว่า ชายเป็นเพศที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลและความเป็นผู้นำ ในขณะที่หญิงเป็นเพศที่เชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึกและบทบาทการเป็นผู้ตามหรือผู้ดูแล[12]
ด้วยเหตุนี้ ระเบียบต่าง ๆ จึงไม่ได้คำนึงถึงการที่ผู้หญิงจะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษา เนื่องจากระบบกฎหมายตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และงานตุลาการต้องการความเด็ดขาดในการตัดสินคดี รวมถึงการย้ายไปทำงานในต่างจังหวัด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้หญิงที่ถูกมองว่ามีความอ่อนไหวทางอารมณ์และมีบทบาทหลักในการดูแลครอบครัว
ผู้พิพากษาหญิง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็กและครอบครัว (?)
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พ.ศ. 2497 ซึ่งผ่อนคลายข้อกำหนดด้านเพศ ทำให้ในปี พ.ศ. 2502 กระทรวงยุติธรรมออกกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2502) ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2497 อนุญาตให้ผู้หญิงสามารถเป็นผู้พิพากษาได้เฉพาะในศาลคดีเด็กและเยาวชน

ที่มา: กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2502) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2497, https://dl.parliament.go.th/backoffice/viewer2300/web/viewer.php.
กว่าจะมีผู้พิพากษาหญิงคนแรกเกิดขึ้นจริง ต้องใช้เวลาอีก 6 ปีหลังจากกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ในปี พ.ศ. 2508 นางชลอจิต จิตตรุทธะ สอบได้เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา[13] และถือเป็นผู้พิพากษาหญิงคนแรกของประเทศไทย

ภาพของชะลอจิตต์ จิตรุทธะ ในคู่มือแม่บ้านทางวิทยุและโทรทัศน์ ฉบับที่ 60 ปีที่ 5 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2509 ใน ภาพิมล อิงควระ, ปริญญานิพนธ์เรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงในอาชีพผู้พิพากษาสตรีในสังคมไทย พ.ศ. 2497-2563”
คำถามที่น่าสนใจคือ แม้งานตุลาการจะถูกมองว่าไม่เหมาะกับผู้หญิงเนื่องจากลักษณะ ปริมาณ และคุณภาพของงาน แต่ทำไมผู้หญิงจึงสามารถเป็นผู้พิพากษาในศาลคดีเด็กและเยาวชนได้?
เมื่อวิเคราะห์เจตนารมณ์ของการจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน จะเห็นได้ว่าศาลนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการคดีของเด็กและเยาวชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด ด้วยวิธีการพิจารณาคดีที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยไม่เน้นการลงโทษแบบรุนแรง[14] ดังนั้น อาจเป็นเพราะผู้หญิงมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเข้าใจธรรมชาติของเด็ก และเหมาะกับกระบวนการพิจารณาคดีที่ไม่เคร่งครัด จึงได้รับอนุญาตให้เป็นผู้พิพากษาในศาลคดีเด็กและเยาวชน
หากเป็นไปตามข้อสันนิษฐานนี้ กฎกระทรวงฉบับที่ 4 จึงไม่ได้ถูกออกแบบบนพื้นฐานของการยอมรับความสามารถทางเหตุผลของผู้หญิง แต่ยังคงยึดติดกับแนวคิดดั้งเดิมที่เชื่อว่าผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ความรู้สึก และมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เข้าใจเด็กได้ดีกว่า
กว่าชายหญิงจะเท่าเทียมกันบนบัลลังก์ตุลาการ
ต่อมา กฎกระทรวงฉบับที่ 4 ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2518[15] ทำให้ผู้หญิงสามารถเป็นผู้พิพากษาในศาลอื่น ๆ ได้ การยกเลิกนี้สอดคล้องกับการบัญญัติเรื่องความเสมอภาคทางเพศในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ระบุว่าชายและหญิงเท่าเทียมกัน และห้ามเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาของภาพิมล อิงควระ ชี้ให้เห็นว่าแม้กฎหมายจะถูกแก้ไข แต่ผู้พิพากษาหญิงก็ยังใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่ตำแหน่งบริหารในฝ่ายตุลาการ โดยเฉพาะตำแหน่งในศาลฎีกาที่เกิดขึ้นหลังปี 2535[16] และจนถึงปัจจุบัน มีผู้หญิงเพียง 3 คนเท่านั้นที่สามารถก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดอย่างประธานศาลฎีกาได้
หลากหลายตัวชี้วัดของความเท่าเทียมทางเพศ
สำหรับผู้ที่มองความเท่าเทียมผ่านโอกาสที่เท่าเทียมกัน การที่ประธานศาลฎีกาหญิงคนใหม่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้อาจถือเป็นเครื่องบ่งชี้สำคัญของความเท่าเทียมทางเพศ
อย่างไรก็ตาม การที่กฎหมายอนุญาตให้ทั้งหญิงและชายสอบเป็นผู้พิพากษาได้ การมีจำนวนผู้พิพากษาหญิงเทียบเท่าชาย หรือแม้แต่การมีประธานศาลฎีกาหญิงคนที่ 3 จะช่วยให้สถานการณ์ของผู้หญิงในระบบกฎหมายดีขึ้นจริงหรือไม่ ยังเป็นข้อสงสัยสำหรับกลุ่มสตรีนิยมแนวครอบงำ (Dominance Feminist) ที่เชื่อว่าการคิดเชิงกฎหมายโดยพื้นฐานนั้นขัดต่อผลประโยชน์ของผู้หญิงและเอื้อประโยชน์ให้ผู้ชายมากกว่า[17] และหากมาตรฐานทางกฎหมายยังถูกกำหนดโดยวิธีคิดและบรรทัดฐานแบบชายเป็นใหญ่ การมีผู้พิพากษาหญิงเพิ่มขึ้นก็อาจหมายถึงเพียงการมีนักกฎหมายหญิงที่คิดเหมือนผู้ชายเพิ่มขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ นักกฎหมายที่ศึกษาในสาขาเพศภาวะศึกษา (เช่น Gay-Lesbian Legal study, Transgender Jurisprudence) มีความกังวลว่าสถาบันตุลาการ (รวมถึงองค์กรอื่น ๆ ในระบบกฎหมาย) ยังคงยึดติดกับระบบเพศแบบทวิลักษณ์ (Gender Binary) ซึ่งทำให้ผู้ที่มีอัตลักษณ์หรือรสนิยมทางเพศที่แตกต่างไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงภายใต้ระบบกฎหมาย
ดังนั้น การมีประธานศาลฎีกาหญิงคนที่ 3 ไม่ควรเป็นเพียงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองความสำเร็จด้านความเท่าเทียมทางเพศเท่านั้น แต่ควรเป็นโอกาสในการทบทวนและตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานทางกฎหมายว่าในปัจจุบัน ประสบการณ์ของทุกคนได้รับการยอมรับและไม่ถูกกีดกันจริงหรือไม่
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
[1] “ประกาศแต่งตั้งประธานศาลฎีกา”, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 140 ตอนพิเศษ 195 ง , 17 สิงหาคม 2566, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/140D195S0000000000300.pdf?fbclid=IwAR1WQvZq6O2M_pcem7PyOHe1QtwFmuzq1MM4yUBAHe-5cb01q8bwGCBoUQE.
[2] สารนัยประสาสน์ (ธัญญา), หลวง (2499). พัฒนาการการศึกษากฎหมายในประเทศไทย. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 3.
[3] ในอดีต “นางสาวผ่องศรี” บุตรขุน/หลวง/พระยาไกรศรี ได้แสดงความประสงค์สมัครเข้าเรียนโรงเรียนกฎหมาย ในช่วงที่เจ้าพระยาอภัยราชาฯ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าศึกษา ตามที่ปรากฏใน อาริยา สินธุ, “สิทธิสตรีไทย จากวันวาน…ถึงวันนี้”, สกุลไทย รายสัปดาห์ ฉบับที่ 2525 ตีพิมพ์ใน “คุณหญิงแร่ม พรหโมบล บุณยประสพ เนติบัณฑิตหญิงคนแรก”, อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงแร่ม พรหโมบล บุณยประสพ ม.ป.ช., ม.ว.ม., ต.จ. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทรทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร, วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551, 29.
[4] เรื่องเดียวกัน, 29.
[5] อาริยา สินธุ ผู้เขียนบทความ ”สิทธิสตรีไทย จากวันวาน…ถึงวันนี้” ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในที่นี้ ช่วยสะท้อนให้เห็นว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนแบบไทยดั้งเดิมของนางสาวแร่ม อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสนาบดีเกิดความเมตตาและอนุญาตให้เธอเข้าเรียนได้ นับเป็นคุณงามความดีของเจ้าพระยาพิชัยญาติ ที่สตรีไทยควรจดจำไว้ว่าท่านเป็นผู้เปิดโอกาสให้หญิงไทยได้ศึกษาวิชากฎหมาย” ใน เรื่องเดียวกัน, 29
[6] ตัวอย่างเช่น ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงในอาชีพผู้พิพากษาสตรีในสังคมไทย พ.ศ. 2497-2563” โดยภาพิมล อิงควระ, 25-26.
[7] นางสาวแร่ม พรหโมบล (นางแร่ม พรหโมบล บุณยประสพ) จบการศึกษาเป็นเนติบัณฑิตในปี พ.ศ.2473 ชั้นที่ 2 ลำดับที่ 19 ตามที่ระบุใน สารกิจปรีชา (หลวง), “รายชื่อเนติบัณฑิตตั้งแต่พ.ศ. 2440- พ.ศ.2476 (ต่อ)”, บทบัณฑิตย์, 20 (4) (ตุลาคม 2505), 915.
[8] นางสาวศิริ จูตี๋รัตน์ (นางศิริ ปทุมรส) สำเร็จการศึกษาระดับเนติบัณฑิตในปี พ.ศ.2474 ชั้นที่ 2 ลำดับที่ 36 ตามที่ปรากฏใน เรื่องเดียวกัน, 919.
[9] นางสาวสุนทร ประเสริฐพงษ์ จบการศึกษาเป็นเนติบัณฑิตในปี พ.ศ. 2475 ชั้นที่ 2 ลำดับที่ 59 ตามที่บันทึกไว้ใน เรื่องเดียวกัน, 923.
[10] งานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงแร่ม พรหโมบล บุณยประสพ ม.ป.ช., ม.ว.ม., ต.จ. จัดขึ้น ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทรทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ในวันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551, 31.
[11] ระเบียบข้าราชการตุลาการบางฉบับ เช่น พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2482 มาตรา 23 (2) และ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2485 มาตรา 24(2) กำหนดว่าผู้มีสิทธิสอบเป็นผู้พิพากษาต้องเป็นเพศชาย ในขณะที่บางฉบับ เช่น พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2471 มาตรา 5 และ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2479 มาตรา 23 ไม่ได้ระบุเงื่อนไขทางเพศ แต่ในทางปฏิบัติยังคงเป็นธรรมเนียมที่ตุลาการต้องเป็นชายเท่านั้น
[12] วารุณี ภูริสินสิทธิ์, สตรีนิยม: ขบวนการและแนวคิดทางสังคมแห่งศตวรรษที่ 20, (กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2545), 6-21.
[13] “ผลการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา” โดยมีนางชลอจิต จิตตรุทธะ อยู่ในลำดับที่ 14 ตามที่ปรากฏใน เยี่ยมกริช กฤษณจินดา, ประมวลข่าว, ดุลพาห 12 (5) (พฤษภาคม 2508), 94-95.
[14] หยุด แสงอุทัย, คำอธิบายกฎหมายศาลเด็ก (กรุงเทพฯ: สำนักงานประชานิติ, 2495), 4-6.
[15] กฎกระทรวงที่ 7 (พ.ศ. 2518) ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2497
[16] ภาพิมล อิงควระ, “ความเปลี่ยนแปลงในอาชีพผู้พิพากษาสตรีในสังคมไทย พ.ศ. 2497 – 2563”, (วิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2564).
[17] Martha Chamallas, Introduction to feminist legal theory (New York: Aspen Law and business, 1999) 53-62.