
ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และในปี พ.ศ. 2564 จำนวนประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมีมากกว่า 12 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 6 ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีตำแหน่งเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และคาดว่าจะกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากอัตราการเกิดของคนไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีมีจำนวนการเกิดเพียงประมาณ 6 แสนคน
หากสถานการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ไทยจะกลายเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด (Hyper Aged Society) ภายในปี พ.ศ. 2584 ซึ่งมีประชากรที่อายุเกิน 65 ปีถึง 20% หรือเกิน 60 ปีมากกว่า 30% โดยสัดส่วนนี้จะส่งผลให้จำนวนประชากรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จากผลสำรวจความคิดเห็นจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในปี 2566 เรื่อง “ใคร? ควรดูแลผู้สูงอายุไทย ให้อยู่ดีมีสุข” พบว่าผู้สูงอายุร้อยละ 53.05 มองว่าครอบครัวคือสถาบันที่ควรดูแลตามมาด้วยหน่วยงานภาครัฐ เช่น บ้านพักคนชรา ร้อยละ 41.91 และองค์กรเอกชน มูลนิธิ และ NGOs อยู่ในลำดับถัดไป
ผลสำรวจเกี่ยวกับบุคคลที่ควรดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว พบว่า ร้อยละ 35.96 เชื่อว่าควรเป็นลูกสาวคนโตหรือลูกสาวคนรอง รองลงมาคือ ลูกชายคนโตหรือลูกชายคนรอง ร้อยละ 23.89 และอีกหลายกลุ่ม เช่น ลูกทุกคน ร้อยละ 19.08 ญาติพี่น้อง ร้อยละ 8.40 และหลาน ร้อยละ 5.88 นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่เชื่อว่าผู้สูงอายุควรดูแลตัวเอง ร้อยละ 3.05
การสำรวจความต้องการบริการดูแลผู้สูงอายุจากภาครัฐ พบว่า ผู้สูงอายุต้องการให้รัฐดูแลด้านการแพทย์มากที่สุด ตามมาด้วยการบริการด้านการเดินทางระหว่างที่พักอาศัยและสถานที่กิจกรรมต่างๆ ที่ต้องการไป
ผลสำรวจระบุว่า ร้อยละ 84.81 ต้องการบริการทางการแพทย์/รักษาพยาบาล ร้อยละ 31.68 ต้องการบริการด้านการเดินทางสำหรับผู้สูงอายุ (รถบัส, รถตู้ หรือแท็กซี่พิเศษ) ร้อยละ 31.60 ต้องการบริการฟื้นฟูบำบัดทางกายภาพ (รวมถึงสถานที่ออกกำลังกาย) ร้อยละ 26.03 ต้องการบริการด้านโภชนาการ (อาหารส่งถึงบ้าน) ร้อยละ 24.05 ต้องการบริการบ้านพัก/ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และร้อยละ 22.90 ต้องการบริการด้านการปรึกษาทางการเงินและการปรึกษาทางจิตใจ
ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองได้เป็นวิธีที่ดีในการรับมือกับสังคมผู้สูงวัย โดยเฉพาะในยุคที่คนรุ่นใหม่แต่งงานช้าลงและมีแนวโน้มอยู่คนเดียวมากขึ้น การดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงจึงเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิต ‘ลำพัง แต่สุขใจ’ ได้อย่างยั่งยืน
การใช้ชีวิต ‘ลำพัง แต่สุขใจ’ โดยเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสุขให้กับตัวเองและชุมชนรอบข้าง เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ในการติดต่อสื่อสารกับครอบครัวผ่าน Social media ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าสังคมและใกล้ชิดกับลูกหลานหรือเพื่อนฝูงได้แม้จะอยู่ห่างไกล
เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถสื่อสารได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของยุคดิจิทัล (Digital Ageing) โดยสามารถใช้เทคโนโลยีร่วมกับคนรุ่นอื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ การมีทัศนคติที่ดีและพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ยังทำให้ผู้สูงอายุเป็นที่รักและสามารถดึงดูดลูกหลานให้มาหาและอยู่ใกล้ชิดได้มากขึ้น
ลูกหลานควรมีความรัก ความกตัญญู และมีความเข้าใจในการดูแลผู้สูงอายุ โดยต้องเห็นอกเห็นใจและให้ความเอาใจใส่ ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุยังสามารถเป็นวัยรุ่นในใจ (Young @ Heart) ได้ด้วยการเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา และมีพฤฒพลัง (Active Aging) โดยดูแลสุขภาพทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม พร้อมกับการรักษาความกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ